คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 รู้อยู่ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนติดตัวอยู่และได้มีการปรึกษาหารือกันก่อนตั้งแต่ในระหว่างที่จำเลยที่ 2 ลุกขึ้นไปพูดซุบซิบกับจำเลยที่ 1 ที่หน้าร้านที่เกิดเหตุประมาณ 2-3 ครั้งและเมื่อจำเลยทั้งสองหวนกลับมายังที่เกิดเหตุอีกเป็นครั้งที่สองปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนมาด้วย ซึ่งในขณะนั้นผู้เสียหายกับพวกยังคงยืนอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายกับพวกเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งหลบหนีเข้าไปในวัด จำเลยทั้งสองยังไล่ตามผู้เสียหายกับพวกไปอีกเล็กน้อย จำเลยที่ 1 ก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัดแล้วจำเลยทั้งสองวิ่งหนีไปด้วยกัน ดังนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้เป็นคนยิงผู้เสียหาย กรณีเช่นนี้ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 288, 371, 376พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 3, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 288,371, 376 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 288 ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในความครอบครอง จำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 1 ปีฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและยิงปืนโดยใช่เหตุในหมู่บ้านเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปีรวมจำคุก 13 ปี คำให้การภาคเสธในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 9 ปี 9 เดือนส่วนจำเลยที่ 2 ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 หรือมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายเท่านั้น เห็นว่าโจทก์มีนายวิเศษศักดิ์ ภู่ทอง ผู้เสียหายนายไชยยศ ศิรินายธวัชชัย พิบูลย์ และนายสุวิทย์ ฝอดสูงเนิน ซึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความสอดคล้องต้องกันได้ความว่า ก่อนเหตุเกิดมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็น 2 ตอน ตอนแรกจำเลยที่ 2 พูดจาแสดงตัวว่าเป็นนักเลงในท้องที่ ผู้เสียหายไม่พอใจ จึงเกิดการโต้เถียงกันระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่ 2 และในระหว่างนั้นเอง จำเลยที่ 2 ได้ลุกขึ้นไปพูดซุบซิบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งอยู่กับพวกชายหญิง 5 คนที่หน้าร้านที่เกิดเหตุประมาณ 2-3 ครั้ง ตอนที่สองเมื่อพวกของจำเลยที่ 1 กลับไปจากร้านดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 ได้เดินมาที่โต๊ะนายสุวิทย์ซึ่งมีผู้เสียหายนั่งอยู่ด้วย จำเลยที่ 1 พูดว่าอย่ามาดูถูกกันดีกว่า ผู้เสียหายถามว่าใครดูถูกมึง จำเลยที่ 1 กับผู้เสียหายจะชกต่อยกัน คราวนี้จำเลยที่ 2 ทำท่าเหมือนจะล้วงอาวุธออกมาจากเอว ผู้เสียหายเข้าประชิดตัวจำเลยที่ 2 ค้นตัวแล้วไม่พบอาวุธ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมให้ค้น ต่อมาเมื่อผู้เสียหายกับพวกเดินออกไปนอกร้านเพื่อรอรถกลับบ้าน จำเลยทั้งสองเดินตามผู้เสียหายไป จำเลยที่ 1 ชักอาวุธปืนออกมายิงผู้เสียหาย 1 นัดแล้วจำเลยทั้งสองวิ่งหนีไปด้วยกันทางสะพานข้ามคลองสำโรงต่อมาอีก 2-3 นาที จำเลยทั้งสองวิ่งกลับมาที่ผู้เสียหายกับพวกยืนอยู่โดยจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนมาด้วย ผู้เสียหายกับพวกจึงวิ่งหลบหนีเข้าไปในวัดหนามแดง จำเลยทั้งสองไล่ตามไปได้เล็กน้อยจึงหยุดพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 เช่นนี้น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 รู้อยู่ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนติดตัวอยู่และได้มีการปรึกษาหารือกันก่อนตั้งแต่ในระหว่างที่จำเลยที่ 2 ลุกขึ้นไปพูดกับจำเลยที่ 1ที่หน้าร้านที่เกิดเหตุประมาณ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำเลยทั้งสองหวนกลับมายังที่เกิดเหตุอีกเป็นครั้งที่สอง ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนมาด้วย ซึ่งในขณะนั้นผู้เสียหายกับพวกยังคงยืนอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายกับพวกเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งหลบหนีเข้าไปในวัดหนามแดง แต่จำเลยทั้งสองยังไล่ตามผู้เสียหายกับพวกไปอีกเล็กน้อย ดังนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้เป็นคนยิงผู้เสียหาย กรณีเช่นนี้ก็ถือได้แล้วว่าจำเลยที่ 2มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีจำเลยที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share