แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยลากจูงเรือโยงมาแล้วทำให้เรือโยงลำท้ายขบวนส่ายเข้าไปชนเรือโจทก์ในเส้นทางเดินเรือของโจทก์โดยไม่มีข้อแก้ตัวอย่างใด และการนั้นก็มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายเรือโจทก์ ฝ่ายจำเลยจึงเป็นผู้ทำละเมิด
จำเลยที่ 1 เป็นนายท้ายเรือ ได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของเรือผู้เป็นนายจ้าง จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมทั้งดอกเบี้ยฐานรับจ้างจูงลากพ่วงเรือบรรทุกสินค้าของจำเลยโดยปราศจากความระมัดระวัง ชนหัวเรือของโจทก์แตกเสียหาย
จำเลยสู้ว่า จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายทำละเมิด แต่โจทก์ใช้ผู้อื่นถือท้ายเรือโดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังตามควรแก่วิสัยและพฤติการณ์ และขาดความชำนิชำนาญ เป็นเหตุให้เรือยนต์โจทก์แล่นมาชนเรือจำเลยเอง จำเลยไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายโจทก์เรียกร้องสูงเกินไป และจำเลยที่ 3 ตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายท้ายเรือโจทก์ได้ใช้ความระมัดระวังตามหน้าที่แล้ว จำเลยไม่ใช้ความระมัดระวัง ถือท้ายเรือจนแล่นมาโดยเรือโจทก์ ค่าเสียหายที่จำเลยเรียกร้องเคลือบคลุมและคดีจำเลยขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมแต่การกระทำของฝ่ายโจทก์เป็นผู้ประมาทคนสุดท้าย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3 ขาดอายุความให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยไม่ระมัดระวัง จนเรือโยงไปชนเรือโจทก์จึงต้องรับผิด ส่วนจำเลยที่ 3 ไม่ได้ทำละเมิด พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 และ 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยที่ 1 และ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เรือโจทก์ได้ใช้ความระมัดระวังพอสมควรแก่เหตุมิได้ประมาทดังที่จำเลยต่อสู้ ฝ่ายจำเลยลากจูงเรือโยงมาแล้วทำให้เรือโยงท้ายขบวนส่ายเข้าไปชนเรือโจทก์ในเส้นทางเดินเรือของโจทก์โดยไม่มีข้อแก้ตัวอย่างใด และการนั้นก็มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายเรือโจทก์ฝ่ายจำเลยจึงเป็นผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายท้ายและได้กระทำไปในทางการของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของเรือผู้เป็นนายจ้าง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย