แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หัวผักกาดที่เจ้าทรัพย์มอบให้บุคคลอื่นครอบครอง บุคคลอื่นยินยอมให้จำเลยเอาไปได้โดยดี เพราะหลงเชื่อในถ้อยคำของจำเลยที่อ้างว่าเจ้าของให้มาเอาไปขาย และหลงเชื่อในอาการที่จำเลยเป็นคนมาติดต่อขอซื้อและจำเลยเป็นคนพูดจาฝากหัวผักกาดเหล่านั้นไว้ โดยผู้ครอบครองมิได้รู้ถึงความจริงว่าหัวผักกาดเหล่านั้นเป็นของผู้ใดกันแน่ กรณีเช่นนี้จะเป็นความผิดอาญาก็เป็นเรื่องฉ้อโกงหาใช่ฐานลักทรัพย์ไม่
ฟ้องว่าลักทรัพย์พิจารณาได้ความว่ากระทำผิดฐานฉ้อโกงต้องยกฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2498 เวลากลางคืนจำเลยบังอาจลักหัวผักกาดเค็มของนายสูน แซ่เล้า และนายวิโรจน์จิตรสุขุมมาลย์ ซึ่งฝากนายผาด สัตระ และนายช่วย สงวนสุขไว้ไปรวม 140 หาบประมาณราคา 10,000 บาท ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 293
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่าหัวผักกาดเค็มรายนี้เป็นของนายสูนกับจำเลยเข้าหุ้นกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายวิโรจน์และนายสูนให้จำเลยเอาไปขาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่าจำเลยทำผิดฐานลักทรัพย์พิพากษาว่าจำเลยผิดกฎหมายอาญา มาตรา 293 จำคุก 1 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 10,000 บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าตามที่โจทก์นำสืบมา ถือว่าความผิดของจำเลยเป็นเรื่องฉ้อโกง นับว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาต่างกับที่กล่าวในฟ้อง ลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้วเห็นว่าคดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาโทษจำเลยทางอาญาในข้อหาว่าลักทรัพย์อันเป็นเรื่องบังอาจเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาทุจริตและเจ้าของมิได้อนุญาตแต่ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบมาแม้จะฟังเป็นความจริงก็ปรากฏว่าหัวผักกาดเหล่านี้เจ้าของทรัพย์ได้มอบความครอบครองไว้แก่นายผาดและนายช่วย และนายผาดนายช่วยยินยอมให้จำเลยขนเอาไปได้โดยดีเพราะนายผาดหลงเชื่อในถ้อยคำของจำเลยที่อ้างว่านายสูนให้มาเอาหัวผักกาดไปขาย และนายช่วยหลงเชื่อในอาการของจำเลย ที่จำเลยเป็นคนมาติดต่อขอซื้อและจำเลยเป็นคนพูดจาฝากหัวผักกาดเหล่านั้นไว้ โดยนายช่วยมิได้รู้ถึงความจริงว่าหัวผักกาดเหล่านั้นเป็นของผู้ใดกันแน่กรณีเช่นนี้แม้จะเป็นความผิดทางอาญาก็เป็นเรื่องฉ้อโกง หาใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ไม่ ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 จึงเป็นการชอบแล้วประเด็นเรื่องใครเป็นเจ้าของทรัพย์ อันเป็นปัญหาในทางแพ่งจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย
เหตุฉะนี้ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ในผลแห่งคำพิพากษาที่ให้ยกฟ้องของโจทก์นั้น และให้ยกฎีกาของโจทก์