แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์อุทธรณ์โดยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่จำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางพร้อมกับอุทธรณ์ครบถ้วนแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ แต่โจทก์ยังไม่ได้ขอรับเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนจำเลยที่วางไว้ต่อศาลคืน ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี โจทก์จึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางพร้อมอุทธรณ์เพิ่มเติมอีก ทั้งไม่จำต้องมีคำขอ ให้เอาเงินดังกล่าวมาวางพร้อมอุทธรณ์ครั้งที่สอง อุทธรณ์ของโจทก์ครั้งที่สองจึงเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 229 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนรั้วและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทที่เช่า กับห้ามเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป หากจำเลยเพิกเฉยให้โจทก์เป็นฝ่ายรื้อถอนโดยให้จำเลยชำระเงินค่ารื้อถอน และให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 3,000 บาท กับค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนรั้วและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทที่เช่าแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 2 งาน เป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ให้โจทก์ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทจดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 33704 ตำบลหนองอึ่ง อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ บริเวณแรเงาด้วยหมึกสีน้ำเงินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท สำหรับฟ้องของโจทก์และคำขอท้ายฟ้องแย้งอื่นของจำเลยให้ยกฟ้องเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 33704 ตำบลหนองอึ่ง อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ บริเวณแรเงาด้วยหมึกสีน้ำเงิน เนื้อที่ประมาณ 2 งาน เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,500 บาท สำหรับฟ้องของโจทก์และคำขอท้ายฟ้องแย้งอื่นของจำเลยให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ คืนค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ครั้งที่สองทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าทนายความในชั้นนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2547 ว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท สำหรับฟ้องของโจทก์และคำขออื่นตามฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงวันที่ 22 มิถุนายน 2550 ว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท สำหรับฟ้องของโจทก์และคำขออื่นตามฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ โดยให้เหตุผลว่า แม้โจทก์จะเคยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นและวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนจำเลยมาแล้วในครั้งแรก แต่เงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวก็เป็นคนละจำนวนกัน ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้ขอให้เอาเงินดังกล่าวมาวางพร้อมอุทธรณ์ครั้งที่สองนี้ โจทก์อุทธรณ์โดยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนจำเลย เป็นอุทธรณ์ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า อุทธรณ์ของโจทก์ครั้งที่สองชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาครั้งแรกในวันที่ 30 มิถุนายน 2547 ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท สำหรับฟ้องของโจทก์และคำขออื่นตามฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย โจทก์อุทธรณ์โดยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่จำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางพร้อมกับอุทธรณ์ครบถ้วนแล้ว ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ ดังนั้น เงินค่าธรรมเนียมที่ศาลชั้นต้นเคยสั่งให้โจทก์ต้องรับผิดใช้แทนจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 30 มิถุนายน 2547 จึงถูกยกไปด้วยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ดังกล่าว แต่โจทก์ยังไม่ได้ขอรับเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนจำเลยที่วางไว้ต่อศาลชั้นต้นคืน ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาครั้งที่สองในวันที่ 22 มิถุนายน 2550 ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท สำหรับฟ้องของโจทก์และคำขออื่นตามฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย เงินค่าธรรมเนียมที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์รับผิดใช้แทนจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 22 มิถุนายน 2550 ดังกล่าว แม้จะกำหนดให้โจทก์ต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยเพิ่มเติมจากคำพิพากษาเดิมที่ถูกยกไปแล้ว แต่เมื่อคำนวณแล้วจำนวนเงินค่าธรรมเนียมทั้งหมดก็เป็นจำนวนเงินเท่ากันกับจำนวนเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนจำเลยที่โจทก์ได้วางต่อศาลชั้นต้นในครั้งก่อนซึ่งโจทก์ยังไม่ได้รับคืนไป กรณีถือว่าโจทก์ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่จำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางต่อศาลพร้อมกับอุทธรณ์แล้ว โจทก์จึงไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางพร้อมอุทธรณ์เพิ่มเติมอีก ทั้งไม่จำต้องมีคำขอให้เอาเงินดังกล่าวมาวางพร้อมอุทธรณ์ครั้งที่สองด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ครั้งที่สองจึงเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่