คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปเข้าร่วมกิจการรับจ้างขนส่งน้ำมันกับห้างหุ้นส่วนจำกัดส.และมอบให้ห้างฯ ดังกล่าวครอบครองดูแลและจัดการเกี่ยวกับคู่ค้าหรือผู้ขับแทนผู้ร้องห้างหุ้นส่วนจำกัดส.นำรถยนต์ของกลางไปให้ ว. เช่า และ ว. นำเข้าไปร่วมกิจการกับบริษัท ช. โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นด้วย คงได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากห้างฯเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยรถยนต์ของกลางมีการพ่นสีแสดงข้อความและเครื่องหมายของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย กับมีชื่อบริษัท ช. เป็นผู้ประกอบการขนส่ง ซึ่งเป็นการสนับสนุนแสดงให้เห็นว่ารถยนต์ของกลางถูกนำไปใช้รับขนส่งน้ำมันเตาให้การปิโตรเลียมฯอย่างเปิดเผย มิใช่มีลักษณะจะนำไปขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผิดกฎหมายทั้งคำว่า “รู้เห็นเป็นใจ” หมายความว่ารู้เหตุการณ์และร่วมใจด้วยส่วนคำว่า “ร่วมใจ” หมายความว่านึกคิดอย่างเดียวกัน การรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดจึงหมายความว่ารู้แล้วว่าจะมีการนำรถยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดและมีความนึกคิดกระทำความผิดด้วยปรากฏว่าขณะเกิดเหตุผู้ร้องมีอายุเพียง 20 ปีเศษ เท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องจะคาดหมายล่วงหน้าได้ว่าจะมีการนำรถยนต์ของกลางของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิด ผู้ร้องจึงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ชอบที่จะขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ, 32พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 175, 191,282 พระราชบัญญัติเรือไทย พ.ศ. 2481 มาตรา 40, 63 และริบเรือยนต์”พรวารี” รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0372 ลพบุรี และน้ำมันเตา7,200 ลิตร ของกลาง คดีถึงที่สุดแล้ว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของแท้จริงในรถยนต์บรรทุกของกลางที่ศาลสั่งริบ ผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามเนื่องจากผู้ร้องนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปเข้าร่วมกิจการรับจ้างขนส่งสินค้ากับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ศงสนันท์ โดยผู้ร้องได้มอบรถยนต์บรรทุกของกลางให้ห้างฯ ดังกล่าวครอบครองดูแลและจัดการเกี่ยวกับคู่ค้าหรือผู้ขับแทนผู้ร้อง ขอให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า รถยนต์บรรทุกของกลางไม่ใช่ของผู้ร้องหลักฐานทางทะเบียนทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับตามกฎหมายผู้ร้องไม่เคยแจ้งแสดงความเป็นเจ้าของในรถยนต์บรรทุกของกลางหรือให้ข้อเท็จจริงใด ๆ แก่เจ้าพนักงานในอันที่จะชี้ให้เห็นว่าผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้คืนรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน70-0372 ลพบุรี ของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของแท้จริงในรถยนต์บรรทุกของกลาง คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 หรือไม่ในปัญหาข้อนี้ผู้ร้องมีตนเองกับนายบุญธรรมบิดาผู้ร้องมาเบิกความตรงกันว่า ผู้ร้องไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 2 และมีจำเลยที่ 2 มาเบิกความว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ศงสนันท์ ในการขับรถยนต์บรรทุกของกลางจำเลยที่ 2 นำรถยนต์บรรทุกของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดโดยพลการ ผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบหักล้างในเบื้องต้นจึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานผู้ร้องดังกล่าว การที่นายวีระนำใบมอบอำนาจจากผู้ร้องไปติดต่อขอรับรถยนต์บรรทุกของกลางคืนโดยผู้ร้องเบิกความว่าไม่เคยรู้จักนายวีระ และนายวีระให้การในชั้นสอบสวนว่ารถยนต์บรรทุกของกลางได้นำไปร่วมกิจการกับบริษัทชลบุรีเสริมทรัพย์ จำกัดในการรับจ้างขนส่งน้ำมันเตาให้แก่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยโดยไม่ปรากฏว่ามีผู้อื่นร่วมกิจการด้วยนั้น หาเป็นพิรุธดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ เพราะผู้ร้องนำสืบไว้แล้วว่าผู้ร้องมอบรถยนต์บรรทุกของกลางให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ศงสนันท์ไปพร้อมกับลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจและสัญญาเช่าที่ยังมิได้กรอกข้อความ จึงเป็นไปได้ที่ห้างฯ จะนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปให้นายวีระเช่า และนายวีระนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปร่วมกิจการกับบริษัทชลบุรีเสริมทรัพย์ จำกัด โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นด้วย และผู้ร้องคงรับผลประโยชน์ตอบแทนจากห้างฯเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นายวีระจึงมิได้ให้การถึงห้างฯ ผู้มอบรถยนต์บรรทุกของกลางให้นายวีระไว้ในชั้นสอบสวน และผู้ร้องกับนายวีระไม่เคยรู้จักกันนอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงสภาพรถยนต์บรรทุกของกลางตามภาพถ่ายหมาย ค.3 ภาพสุดท้ายแล้วเห็นได้ว่ารถยนต์บรรทุกของกลางมีการพ่นสีแสดงข้อความและเครื่องหมายของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยกับมีชื่อบริษัทชลบุรีเสริมทรัพย์ จำกัด เป็นผู้ประกอบการขนส่ง เป็นการสนับสนุนข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย ทั้งยังแสดงให้เห็นว่ารถยนต์บรรทุกของกลางถูกนำไปใช้รับขนส่งน้ำมันเตาให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยโดยเปิดเผย มิใช่มีลักษณะจะนำไปขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผิดกฎหมายคำว่า “รู้เห็นเป็นใจ” หมายความว่ารู้เหตุการณ์และร่วมใจด้วย ส่วนคำว่า”ร่วมใจ” หมายความว่านึกคิดอย่างเดียวกัน การรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดจึงหมายความว่ารู้แล้วว่าจะมีการนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปใช้กระทำความผิดและมีความนึกคิดกระทำความผิดด้วย ได้ความตามสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร้องท้ายเอกสารหมาย ค.1ว่าผู้ร้องเกิดวันที่ 14 สิงหาคม 2518 เหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์2539 ขณะที่ผู้ร้องมีอายุเพียง 20 ปีเศษ เท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องจะคาดหมายล่วงหน้าได้ว่าจะมีการนำรถยนต์บรรทุกของกลางของผู้ร้องไปใช้ในการกระทำความผิดคดีนี้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้มั่นคงว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ผู้ร้องจึงชอบที่จะขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องเสียนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share