คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 2 ไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ถือไม่ได้ว่าจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 โดยการปิดหมายที่ไม่มีพยานรู้เห็นเป็นการไม่ชอบนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
การปิดหมายตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคหนึ่ง ไม่ต้องมีพยานรู้เห็นในการปิดหมาย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 35,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 เมษายน 2541) ต้องไม่เกิน 8,750 บาท ตามที่โจทก์ขอ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมในฐานะผู้ค้ำประกันชำระแทนกับให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,000 บาท จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วม คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วม แต่ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 600 บาท แทนโจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาท แทนโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงจำเลยที่ 2 อยู่บ้านเลขที่ 261 หมู่ 6 ตำบลบึงบูรณ์ อำเภอบึงบูรณ์ จังหวัดศีรษะเกษ และทราบว่าถูกฟ้องคดีแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดและปล่อยเวลาล่วงพ้นไปนานปี จำเลยที่ 2 จึงจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 2 ไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครไม่ทราบว่าถูกฟ้องถือว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ดังนี้เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหานี้ชอบแล้ว แต่ที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2 โดยการปิดหมายที่ไม่มีพยานรู้เห็นเป็นการไม่ชอบนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ปัญหานี้โดยเห็นว่าข้อเท็จจริงย่อมเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเลยโดยไม่ต้องยกสำนวน เห็นว่า การปิดหมายตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่ง มิได้บังคับให้ต้องมพยานรู้เห็นในการปิดหมายแต่อย่างใดข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยที่ 2 ที่ว่าการปิดหมายโดยไม่มีพยานรู้เห็นเป็นการไม่ชอบ คงยกคำร้องของจำเลยที่ 2 ตามคำสั่งศาลชั้นต้นส่วนอุทธรณ์จำเลยที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาให้บังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ

Share