แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้รับรองฎีกาผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ ไม่มีเหตุอันควรฎีกา ในข้อเท็จจริงต่อไป จึงไม่รับรองให้ฎีกา ยกคำร้อง ศาลชั้นต้น จึงมีคำสั่งว่าทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า พยานหลักฐานและข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์ยกขึ้นเป็นเหตุผลในฎีกามีน้ำหนักเพียงพอที่โจทก์จะชนะคดี และฎีกาโจทก์มีเหตุผลสมควรที่จะได้รับการพิจารณาจากศาลฎีกาจึงขอ อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งที่ไม่รับฎีกาและคำสั่งที่ไม่รับรองว่ามีเหตุสมควรจะฎีกาได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เพื่อแย่งการครอบครองและโค่นต้นยางพารา ขอให้ขับไล่ จำเลย กับบริวารออกจากที่ดินโจทก์โดยห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้อง ในที่ดินและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา และยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกา ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า ฎีกาของโจทก์ไม่มีเหตุอันสมควรฎีกาในข้อเท็จจริงต่อไปจึงไม่รับรองให้ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 113,114)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเกินกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ที่แก้ไขใหม่ประกอบมาตรา 247 รวมสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อสั่ง (อันดับ 117)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าโจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์คนละวันกับที่โจทก์ยื่นฎีกาโจทก์ทราบคำสั่งไม่รับฎีกาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2537 และยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาในวันที่ 16 มีนาคม 2537 จึงยังไม่พ้นกำหนด15 วัน โจทก์ยื่นคำร้องได้ แต่เห็นว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทและโจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2536 อันเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ใช้บังคับแล้ว จึงต้องบังคับตามกฎหมายใหม่ในขณะที่ โจทก์ยื่นฎีกาซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่นี้บัญญัติว่า “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง เว้นแต่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดี ได้รับรองไว้หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้” เมื่อฎีกาของโจทก์เป็น ฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวการรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นอำนาจเฉพาะตัว เมื่อผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นไม่รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกาอีกไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง