แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และไม่เป็น สาระอันควรได้รับการวินิจฉัยตามมาตรา 249 จึงไม่รับ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เห็นว่า จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยที่ 1 ซื้ออาคารหลังพิพาทเพื่อรื้อไป เป็นการซื้อสังหาริมทรัพย์ จำเลยที่ 1 ผู้ซื้อไม่ต้องรับโอนสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีอยู่กับโจทก์ผู้เช่า การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นละเมิดการกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ย่อมไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ด้วยและฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าบรรดาเอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์อ้าง โจทก์มิได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลยทั้งสองก่อนสืบพยาน 3 วัน เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย จึงรับฟังเป็นพยานไม่ได้ตามกฎหมาย และปัญหาข้อกฎหมายทั้งสองประเด็นดังกล่าว เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยของศาลฎีกา กล่าวคือ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 2 ทำการรื้ออาคารพิพาท การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นละเมิด เพราะจำเลยที่ 1 ซื้ออาคารหลังพิพาทเพื่อรื้อไปเป็นการซื้อสังหาริมทรัพย์ถึงโจทก์จะเช่าอาคารหลังพิพาทอยู่ จำเลยที่ 1 ผู้ซื้อก็ไม่ต้องรับโอนสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีอยู่กับผู้เช่าคือโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นละเมิดเสียแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ย่อมไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ด้วย ดังนั้น ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าทรัพย์พิพาทที่จำเลยที่ 1 ซื้อได้จากการขายทอดตลาดเป็นทรัพย์ที่ซื้อมาในลักษณะเป็นสังหาริมทรัพย์ และจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ที่มีอยู่เหนือตัวทรัพย์หรือไม่ จึงเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดีโดยตรงว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ อันเป็นสาระสำคัญแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามกฎหมายว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่เพราะถ้าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำละเมิดแล้ว จำเลยทั้งสองก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และประเด็นข้อกฎหมายที่ว่าโจทก์ไม่ส่งสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยทั้งสองก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า3 วัน ซึ่งศาลจะรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานไม่ได้ตามกฎหมายนั้น ปัญหาข้อนี้จำเลยทั้งสองได้คัดค้านต่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตลอดมา แต่ศาลทั้งสองหาได้ยกขึ้นวินิจฉัยไม่ ซึ่งหากศาลฎีกายกปัญหาข้อกฎหมายนี้ขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองจะต้องชนะคดีอย่างแน่นอน ดังนั้น ปัญหาข้อกฎหมายนี้จึงเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยในชั้นฎีกาเช่นเดียวกันโปรดมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณา
หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 122 แผ่นที่ 3)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 42,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 108)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 121)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยที่ 1 ซื้ออาคารพิพาท อย่างสังหาริมทรัพย์ คือเมื่อซื้อได้แล้วต้องรื้อถอนไปเมื่อจำเลยที่ 1 ซื้อได้สัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์กับเจ้าของเดิมระงับไปหรือไม่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือจำเลยที่ 1มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าหรือไม่ นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงให้รับฎีกาข้อดังกล่าวไว้พิจารณาโดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป ส่วนฎีกาข้ออื่นเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้นชอบแล้ว