แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ข้อ2(1) เป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์ในข้อนี้ ส่วน (2) มีปัญหาว่าจำเลยมีสิทธิหักค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และ (3)มีปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยเมื่อใดเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับอุทธรณ์ข้อกฎหมายเฉพาะ (2) และ (3) ดังกล่าว
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 2(1) เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า การรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93,124โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 2(1) ไว้พิจารณาพิพากษาด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยแถลงคัดค้าน (อันดับ 97)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์84,090 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 8,876 บาท เงินบำเหน็จ 436,520 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยมีสิทธิหักค่าชดเชยพร้อมทั้งดอกเบี้ยออกจากเงินบำเหน็จในวันชำระเงินด้วยคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้องและให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 81)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 93)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2(1) เป็นใจความว่านายสุรพล พยานจำเลยเบิกความถึงวิธีการลักน้ำมันอย่างลอย ๆไม่น่าเชื่อ รับฟังไม่ได้และเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 และ 2ที่สนับสนุนการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควรและการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมก็ไม่ปรากฏที่มาที่แน่นอนน่าจะเป็นเอกสารที่จำเลยทำขึ้นเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ เพื่อที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยและเงินผลประโยชน์ต่าง ๆ แก่โจทก์เป็นการรับฟังเอกสารที่ไม่ได้นำต้นฉบับเข้ามาในคดี และไม่นำสืบ จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 และ 124 นั้นศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วในปัญหาที่ว่าโจทก์ได้กระทำความผิดตามที่จำเลยต่อสู้หรือไม่ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน เพียงแต่นำสืบถึงวิธีการลักน้ำมันและคำซัดทอดของผู้ถูกจับกุมตามเอกสารท้ายคำให้การซึ่งพันตำรวจโทอัมพรพยานศาลก็เบิกความว่าเอกสารดังกล่าวมิใช่เอกสารในสำนวนคดีอาญาถึงหากจะฟังว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงพยานในเอกสารนั้นก็ไม่ได้ให้การพาดพิงถึงโจทก์ ทั้งพนักงานอัยการก็ได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องโจทก์แล้วจึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ร่วมกระทำความผิดดังจำเลยต่อสู้ อันเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด แต่มีเหตุสมควรที่จะไม่ไว้ใจโจทก์ในการที่จะให้ทำงานต่อไปจึงเลิกจ้างโจทก์ได้มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เช่นนี้เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติแล้วอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แต่เลี่ยงกล่าวให้เป็นข้อกฎหมายเท่านั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ข้อนี้ชอบแล้วให้ยกคำร้อง