คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้านเคยมีสาเหตุกับผู้ตาย จำเลยที่ 1 หาพรรคพวกไปแกล้งจับผู้ตาย หาว่ากระทำความผิดอาญา โดยที่ผู้ตายเองก็เป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับพวกหลอกลวงเอาเงินจากพ่อค้าและราษฎรไปอยู่เหมือนกัน จำเลยที่ 1 กับพวกเอาโซ่มัดผู้ตาย เอาผู้ตายไปล่ามโซ่ไว้ใต้ถุนบ้าน แล้วจำเลยที่ 1-2-3-4 กับพวกเอาตัวผู้ตายออกจากบ้านไป บอกว่าจะเอาตัวไปส่งจังหวัดในคืนวันเกิดเหตุ ผู้ตายพยายามขัดขืนไม่ยอมไป จำเลยกับพวกเอาโซ่ลากคอผู้ตายไป แล้วร่วมกันฆ่าผู้ตายในระหว่างทางเห็นได้ว่าเมื่อตอนที่จำเลยกับพวกนำตัวผู้ตายออกจากบ้านไปนั้น จำเลยกับพวกอาจจะยังไม่มีเจตนาจะฆ่าผู้ตาย แต่การที่กลับมาเปลี่ยนใจฆ่าผู้ตายน่าจะเป็นเพราะผู้ตายพยายามขัดขืนไม่ยอมไปก็ได้ พฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ใหญ่บ้าน บังอาจร่วมกับจำเลยอื่นและพวกที่หลบหนีอีก ๑ คนมีปืนลูกซองยาว และปืนพกสั้นอย่างละ ๑ กระบอกเป็นอาวุธเข้าทำการจับกุมนายสมเกียริติ พุฒิวิทยะ หรือศรีนอกล่ามโซ่ใส่กุญแจมือ นำไปควบคุมกักขังไว้ที่บ้านของจำเลยที่ ๑ โดยเจตนาทุจริต แกล้งจับกุมด้วยสาเหตุโกรธเคืองเรื่องส่วนตัวแล้วจำเลยกับพวกที่หลบหนี ควบคุมตัวนายสมเกียรติออกไปจากบ้านพักของจำเลยที่ ๑ โดยเพทุบายว่าจะนำไปส่งอำเภอ ครั้นมาถึงระหว่างทางจำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันใช้กำลังกายชกต่อยเตะทำร้ายนายสมเกียรติ และใช้ปืนพกสั้นและปืนลูกซองยาวยิงอีกอย่างละ ๑ นัด เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสและถึงแก่ความตายในทันใดนั้น โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าให้ตายและโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว เนื่องด้วยผู้ตายเคยร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยที่ ๑ จนถูกเจ้าพนักงานจับตัวดำเนินคดีฐานจ้างวานใช้ผู้อื่นหรือร่วมกันฆ่านายทองสา ศรีนอก น้องชายผู้ตาย จำเลยกับพวกได้ร่วมกันฆ่าผู้ตายด้วยลักษณะอันทารุณโหดร้ายและทรมาน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๒๘๙, ๘๓ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๔๐๒ มาตรา ๑๓
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ใช้อุบายกล่าวหาว่าผู้ตายเป็นผู้กระทำผิด จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ใช้อำนาจจับผู้ตายไปกักขังไว้ที่บ้านจำเลยที่ ๑ การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ จำเลยที่ ๓ มีความผิดฐานสนับสนุนในการกระทำผิดฐานนี้ จำเลยทุกคนได้ร่วมกันฆ่านายสมเกียรติจริง แต่ตามพฤติการณ์ยังฟังไม่ถนัดว่าจำเลยได้ไตร่ตรองไว้ก่อน และจำเลยทำด้วยความทารุณโหดร้าย ความผิดของจำเลยจึงไม่ต้องด้วย มาตรา ๒๘๙ แต่เป็นความผิดตามบทมาตรา ๒๘๘, ๘๓ พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ ผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ จำเลยที่ ๓ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๘๖ และ ๒๘๘ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๓ ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ อันเป็นกระทงหนักที่สุดตามมาตรา ๙๑ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ไว้ตลอดชีวิต จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ รับสารภาพ เป็นประโยชน์ในทางพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามมาตรา ๗๘, ๕๓(๒) คงจำคุกจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ คนละ ๑๐ ปี
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙ จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑๐ บ้านน้ำสวยท่าสะอาด ตำบลน้ำสวย อำเภอเมืองเลย ผู้ตายเคยอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว ผู้ตายมีสาเหตุกับจำเลยที่ ๑ แล้วผู้ตายก็อพยพไปอยู่ท้องที่จังหวัดชัยภูมิ ผู้ตายบอกขายที่ดินที่บ้านน้ำสวยให้นายพวย บัวสาลี และได้นำนายพวยมาที่บ้านน้ำสวย เพื่อจะดูที่ ๆ จะขาย ผู้ตายและนายพวยมาถึงบ้านน้ำสวยในวันเกิดเหตุได้มาขอนอนค้างคืนที่เรือนนายสมพงษ์ วันนั้นเวลาประมาณ ๑๘.๐๐ นาฬิกา จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และนายชูบุตรจำเลยที่ ๑ กับพวก ได้นำพวกอาสาสมัครรักษาดินแดนไปจับผู้ตายที่บ้านนายสมพงษ์ โดยจำเลยที่ ๑ บอกพวกอาสาสมัครรักษาดินแดนว่าผู้ตายเป็นคนร้าย จำเลยที่ ๑ ใช้โซ่มัดแขนผู้ตายแล้วให้จำเลยที่ ๓ จูงโซ่ที่ล่ามผู้ตายพาไปบ้านจำเลยที่ ๑ ผู้ตายขอให้นายพวยไปด้วย นายพวยก็ไป เมื่อไปถึงบ้านจำเลยที่ ๑ แล้วได้มัดผู้ตายไว้กับเสาเรือนและล่ามโซ่ใส่กุญแจ ต่อมาเวลาประมาณ ๒๑.๐๐ นาฬิกา จำเลยที่ ๑ นำตัวผู้ตายออกจากบ้านว่าจะไปส่งที่เมืองเลย โดยจำเลยที่ ๒, ๓, ๔ และนายชู ร่วมควบคุมไปด้วย ผู้ตายเรียกนายพวยให้ไปด้วย และจับหัวเข็มขัดของนายพวยไว้แน่น เมื่อไปถึงสามแยกห่างโรงเรียนประชาบาลประมาณ ๓ เส้น จำเลยที่ ๔ ใช้ขวดสุราตีศรีษะผู้ตายแตก จำเลยที่ ๔ กับนายชูเข้ารุมชกต่อยผู้ตาย ๆ ไม่ยอมเดินต่อไป จำเลยที่ ๑ ให้ลากคอไป จำเลยที่ ๓ ลากโซ่ที่ล่ามแล้วจำเลยที่ ๑ พูดว่า ไปส่งที่สายตรวจพ่อวื่นไม่ต้องไปเมืองเลย จึงพากันคุมตัวผู้ตายลัดป่าละเมาะไปได้สัก ๕ เส้น ถึงกลางทุ่งนาน้อย จำเลยที่ ๑ บอกให้หยุด นายชูดึงโซ่ผู้ตายจนเสียหลักล้มลง จำเลยที่ ๔ เข้าเหยียบคอ จำเลยที่ ๑ ก็ส่งปืนให้จำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ยิงถูกผู้ตายที่เอวด้านหลัง จำเลยที่ ๑ ยิงด้วยปืนลูกซองซ้ำอีก ๑ นัดถูกที่เอวด้านหลัง จำเลยที่ ๔ ใช้มีดแทงสีข้างด้านขวา นายชูแทงที่เอว จำเลยที่ ๒ เป็นคนจับขาผู้ตายพับและกดไว้ จำเลยที่ ๑ พูดว่าตายแล้ว นายพวยเห็นเช่นนั้นก็วิ่งหนีเข้าป่าไปจนสว่างจึงอาศัยรถบรรทุกปอกลับบ้านที่จังหวัดชัยภูมิ บอกเรื่องให้นายแสนบิดาผู้ตายทราบและแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพผู้ตายฝังอยู่ที่นาจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาเห็นว่า ถึงแม้ว่าจำเลยที่ ๑ จะมีสาเหตุกับผู้ตายเรื่องที่ผู้ตายแจ้งความหาว่าจำเลยที่ ๑ จ้างคนฆ่านายทองสาน้องชายของผู้ตาย เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ถูกจับระหว่างสอบสวนถึง ๘๐ กว่าวัน จึงได้รับการปล่อย เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้องก็จริงแต่ขณะเดียวกัน ผู้ตายก็ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับน้องของผู้ตายหลอกลวงเอาเงินจากพ่อค้าและราษฎรตำบลน้ำสวย โดยอ้างว่าจะส่งปอให้ อาจเป็นเพราะผู้ตายก็มีคดีติดตัวอยู่เหมือนกัน จำเลยที่ ๑ จึงนำพรรคพวกไปแกล้งจับเอาบ้าง และเมื่อตอนที่นำตัวผู้ตายออกจากบ้าน จำเลยที่ ๑ ว่าจะไปส่งเมืองเลย จำเลยที่ ๑ กับพวกอาจจะยังไม่มีเจตนาจะฆ่าผู้ตาย แต่การที่กลับมาเปลี่ยนใจฆ่าผู้ตาย น่าจะเป็นเพราะผู้ตายพยายามขัดขืนไม่ยอมไป จนถึงขั้นใช้ขวดสุราตีศรีษะผู้ตาย และดึงโซ่ลากคอกันไป แล้วจำเลยทั้งสี่ก็ร่วมกันลงมือฆ่าผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ตามพฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ตกลงใจกันมาก่อนว่าจะจับผู้ตายไปฆ่า คดีจึงยังไม่พอฟังว่าเป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนดังที่โจทก์ฎีกามา
พิพากษายืน.

Share