คำสั่งคำร้องที่ 9/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ไม่รับเป็นฎีกา
โจทก์ร่วมเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำเลยไว้นั้น เป็นกรณีพิเศษผิดจากการใช้ดุลพินิจคดีอื่นทั่วไป เพราะการวินิจฉัยพิจารณาคดีไม่ต้องตรงกับข้อเท็จจริงแห่งคดีและมีปัญหาข้อกฎหมายประกอบอยู่ด้วย ซึ่งโจทก์ร่วมได้อุทธรณ์และฎีกาเป็นรายละเอียดไว้แล้ว เมื่อศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษาคลาดเคลื่อนไปเช่นนี้ การใช้ดุลพินิจย่อมเกิดจากปัญหาข้อกฎหมายโดยชัดแจ้ง ดุลพินิจนี้จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่ใช่ปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วม จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 73 แผ่นที่ 2)
ระหว่างพิจารณา นายเอกชัยฉัตรวิชัย ผู้เสียหาย ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำคุก4 เดือน เนื่องจากจำเลยชำระหนี้ไปบางส่วนบ้างแล้ว จึงให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ 1 ปี
โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 70)
ทนายโจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 72)

คำสั่ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องและฟังว่าจำเลยชำระหนี้ตามเช็คไปบางส่วน รอการลงโทษให้จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ร่วมฎีกาว่า การที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่า จำเลยชำระหนี้ตามเช็คบางส่วนและนำมาเป็นเหตุรอการลงโทษให้จำเลย เป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดและผิดหลงไม่ตรงกับทางนำสืบของพยานโจทก์จำเลยซึ่งแท้จริงจำเลยไม่เคยชำระหนี้บางส่วน ขอไม่ให้รอการลงโทษให้จำเลยนั้น เรื่องจำเลยชำระหนี้ตามเช็คบางส่วนหรือไม่ไม่ใช่องค์ประกอบของความผิดตามฟ้อง เป็นการรับฟังพฤติการณ์ของจำเลยเพื่อกำหนดโทษให้เหมาะสมกับความผิด การที่ฎีกาขอไม่ให้รอการลงโทษให้จำเลยเป็นการโต้แย้งคัดค้านดุลพินิจในการลงโทษเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วมชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share