แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หน้าที่ของศาลที่จะตรวจฎีกาของโจทก์ว่าควรจะรับส่ง ไปยังศาลฎีกาหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 223 เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ เพราะคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ และแม้เรื่องการคัดค้านผู้พิพากษาจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทและเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงเท่ากับว่าศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, 137, 172, 173, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 172 และ 173 ให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ ของโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ซึ่งจะหยิบยกพยานหลักฐานเกี่ยวกับปัญหาข้อใดข้อหนึ่งขึ้นวินิจฉัยได้ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ส่วนข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่เคยพิจารณาพิพากษาคดีนี้แล้วพิพากษาคดีนี้ใหม่ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ถือได้ว่าเป็นการอุทธรณ์คัดค้านตัวผู้พิพากษาไม่มีอำนาจพิพากษาคดีที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย แต่กฎหมายมิได้บัญญัติบังคับ ว่าจะต้องให้ผู้พิพากษาอื่นเป็นผู้พิพากษาตามที่โจทก์อุทธรณ์ ในปัญหาข้อกฎหมายนี้ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
โจทก์ฎีกาคำสั่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาคำสั่งของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคท้ายจึงไม่รับฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบ เพราะอำนาจในการสั่งฎีกาเป็นอำนาจของศาลฎีกาและเรื่องคัดค้านผู้พิพากษาเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า หน้าที่ของศาลที่จะตรวจฎีกาของโจทก์ว่าควรจะรับส่งไปยังศาลฎีกาหรือไม่นั้น ย่อมเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 223 และเมื่อศาลชั้นต้นตรวจฎีกาของโจทก์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ เพราะคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ และแม้เรื่องการคัดค้านผู้พิพากษาจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทและเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาเท่ากับว่าศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์อีกเช่นกันคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสามโจทก์ฎีกาคำสั่งนี้อีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง”