แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ากรณีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ไม่รับฎีกาโจทก์เห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลควรใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อีกทั้งศาลอุทธรณ์ยังรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีของโจทก์มีมูล จึงให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาฯลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกหรือเคยกระทำผิดอย่างใดมาก่อน และ ฯลฯ พยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด มีเหตุควรปราณี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 66)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามกำหนดโทษสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดไว้นั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษซึ่งเป็นข้อเท็จจริงสำหรับข้อที่โจทก์ฎีกาอีกว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนนั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยพยายามขวนขวายหาเงินมาใช้ให้โจทก์ตลอดมานั้น เป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงในสำนวน หาได้วินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงนอกสำนวนดังที่เถียงมาในฎีกาแต่อย่างใดไม่ เช่นนี้ ย่อมเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน จึงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ข้อกฎหมายที่โจทก์อ้างเป็นฎีกาไม่มี ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลให้ยกคำร้อง