แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้จำเลยต้องยื่นฎีกาต่อศาลจังหวัดมหาสารคาม แต่ จำเลยได้ยื่นฎีกาต่อศาลอาญาในวันสุดท้ายของกำหนดอายุความฎีกา ซึ่งเจ้าหน้าที่ศาลอาญาได้ลงรับฎีกาของจำเลยในวันนั้น และเจ้าหน้าที่นั้นเห็นว่าฎีกาของจำเลยไม่มีคำร้องประกอบจึงให้จำเลยรับฎีกาคืนไปภายหลังที่ขาดอายุฎีกาแล้ว ซึ่งเป็น การกระทำที่ไม่ถูกต้องเพราะฎีกาของจำเลยจะชอบหรือไม่อย่างไรนั้นชอบที่เจ้าหน้าที่ศาลอาญาจะต้องนำฎีกาของจำเลยเสนอให้ ผู้พิพากษาศาลอาญาเป็นผู้สั่งซึ่งถ้าศาลอาญาสั่งไม่รับฎีกาของ จำเลย จำเลยก็มีโอกาสแก้ไขและยื่นใหม่ให้ทันในวันนั้นได้ ฎีกาของจำเลยก็จะไม่ขาดอายุความ แม้ศาลอาญาจะสั่งฎีกาของจำเลยไปยังศาลจังหวัดมหาสารคามล่วงเลยกำหนดอายุความฎีกาจึงไม่เป็นความผิดของจำเลยถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยศาลฎีกามีอำนาจสั่งขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้จำเลยไปจนถึงวันที่จำเลยยื่นฎีกาต่อศาลจังหวัดมหาสารคามได้ และเป็นหน้าที่ของศาลจังหวัดมหาสารคามที่จะตรวจและสั่งฎีกาของจำเลย การที่ศาลจังหวัดมหาสารคามสั่งฎีกาของจำเลยแต่เพียงว่า’รวม’ พออนุโลมได้ว่าสั่งไม่รับฎีกาตามศาลอาญาจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ คำสั่งศาลจังหวัดมหาสารคามต่อศาลฎีกาได้ใน 15 วันนับแต่วัน ฟังคำสั่งสิทธิฎีกาของคู่ความนั้นจะต้องพิจารณาเป็นรายกระทงไป เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงจำคุกกระทงละไม่เกินห้าปี จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218