แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาในข้อ 2 ที่ว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 แต่ศาลฟังว่าเป็นการใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 265,268 โดยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายการกระทำความผิดตามมาตรา 265 จำเลยจะต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือในการทำและปลอมแปลง ในทางพิจารณาและในสำนวนยังไม่ปรากฏว่า มีอุปกรณ์ในการกระทำความผิดดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลย เป็นผู้ปลอมเอกสารจริงหรือไม่ จึงเป็นการต้องยอมรับตาม ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 268 เท่านั้น จึงไม่ควรนำเอามาตรา 265 เรื่องปลอมเอกสารราชการมาเป็น ข้อวินิจฉัยให้เป็นผลร้ายแก่จำเลย จำเลยไม่เห็นด้วยกับโทษ ที่ศาลลงตามมาตรา 265 ซึ่งมีบทลงโทษถึงห้าปีโดยมิได้มีการ สืบพยานหลักฐานประกอบ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย เพราะเป็นการโต้เถียงบทกฎหมายที่ศาลลงโทษ โปรดมีคำสั่งให้รับ ฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 42 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,265,268,91 แต่เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ทำปลอมเอกสารนั้นเองจึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามมาตรา 268ประกอบ มาตรา 265 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 41)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 42 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาว่าจำเลยรับสารภาพข้อหาใช้เอกสารปลอมเท่านั้น ส่วนการปลอมเอกสารโจทก์มิได้นำสืบถึงเรื่องการปลอมเอกสาร และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเครื่องมือหรือ อุปกรณ์ในการทำปลอม จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสาร และขอรอการลงโทษแก่จำเลยนั้นเห็นว่าคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ตามฟ้อง โจทก์หาจำต้องสืบพยานไม่ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็น การโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษ จึงเป็น ปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง