คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6908/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องมีหนังสือของบริษัทจำเลยซึ่งม. กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทจำเลยลงลายมือชื่อโดยประทับตราของบริษัทจำเลยยืนยันว่าบริษัทจำเลยได้รับเงินค่าหุ้นที่ค้างจากผู้ร้องแล้วมาแสดงซึ่งผู้ร้องได้อ้างส่งไว้ในชั้นสอบสวนของผู้คัดค้านที่ผู้คัดค้านอ้างว่าจากการตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยปรากฏว่าผู้ร้องยังค้างชำระค่าหุ้นแก่บริษัทจำเลยอยู่เมื่อผู้คัดค้านไม่ได้ปฏิเสธว่าหนังสือรับเงินค่าหุ้นดังกล่าวบริษัทจำเลยไม่ได้ทำขึ้นหรือทำไว้ไม่ถูกต้องหรือไม่อย่างไรหนังสือรับเงินค่าหุ้นดังกล่าวจึงรับฟังได้ การชำระเงินค่าหุ้นไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องจดแจ้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นด้วยจึงใช้ยันแก่บริษัทจำเลยรวมทั้งผู้คัดค้านได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทจำเลยเด็ดขาด ต่อมาผู้คัดค้านมีหนังสือยืนยันไปยังผู้ร้องว่าบริษัทจำเลยมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้ค่าหุ้นจำนวน400 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 750 บาท รวมเป็นเงิน 300,000 บาทให้ผู้ร้องชำระค่าหุ้นดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป นับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2533 อันเป็นวันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จต่อผู้คัดค้าน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้โอนหุ้นทั้งหมดให้แก่นายมานพ เชิดสุริยา ไปแล้ว และได้ชำระค่าหุ้นเรียบร้อยแล้วที่ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วเห็นว่าการโอนหุ้นมิได้จดแจ้งการโอนชื่อและสำนักงานผู้รับโอนลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น จะใช้ยันแก่บริษัทจำเลยหรือผู้คัดค้านไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 วรรคสาม เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องยังคงค้างส่งค่าหุ้นจึงยืนยันหนี้ไปยังผู้ร้องนั้น ผู้ร้องเห็นว่าตามหลักฐานของผู้คัดค้านไม่ปรากฏว่าหุ้นของบริษัทจำเลยเป็นหุ้นระบุชื่อผู้ถือหุ้นลงในใบหุ้น จึงนำความในมาตรา 1129 วรรคสามแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับไม่ได้ การโอนหุ้นดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งบริษัทจำเลยทราบการโอนหุ้นแล้วใช้ยันบุคคลภายนอกและบริษัทจำเลยได้ นอกจากนี้บริษัทจำเลยยังได้รับเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระจากผู้ร้องครบถ้วนแล้วขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องยังค้างชำระค่าหุ้นบริษัทจำเลยเป็นเงิน 300,000 บาท ที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานทางทะเบียนผู้ถือหุ้นจะนำมาใช้ยันผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ ขอให้ยกคำร้อง
วันนัดพิจารณาคำร้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดการไต่สวนพยานผู้ร้อง แล้วมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้ของบริษัทจำเลย
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาว่า เดิมผู้ร้องถือหุ้นของบริษัทจำเลยจำนวน 400 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท ผู้ร้องได้ชำระเงินค่าหุ้นให้บริษัทจำเลยครั้งแรกหุ้นละ 250 บาทคงค้างชำระหุ้นละ 750 บาท รวม 400 หุ้น เป็นเงินคงค้างรวม 300,000 บาท มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านในประการแรกว่า ผู้ร้องได้ชำระค่าหุ้นที่ค้างรวม300,000 บาท ดังกล่าวให้บริษัทจำเลยแล้วหรือไม่ เห็นว่าผู้ร้องมีหนังสือของบริษัทจำเลยฉบับลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2521ซึ่งมีนายมานพ เชิดสุริยา กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทจำเลยลงลายมือชื่อโดยประทับตราของบริษัทจำเลยยืนยันว่าบริษัทจำเลยได้รับเงินค่าหุ้นที่ค้างรวม 300,000 บาทจากผู้ร้องแล้วมาแสดง โดยเอกสารดังกล่าวผู้ร้องได้อ้างส่งไว้ในชั้นสอบสวนของผู้คัดค้านแล้ว ที่ผู้คัดค้านอ้างว่า จากการตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลย ปรากฏว่าผู้ร้องยังค้างชำระค่าหุ้นแก่บริษัทจำเลยอยู่ 300,000 บาท นั้น เมื่อผู้คัดค้านไม่ได้ปฏิเสธว่าหนังสือรับเงินค่าหุ้นดังกล่าวบริษัทจำเลยไม่ได้ทำขึ้นหรือทำไว้ไม่ถูกต้องหรือไม่อย่างไร หนังสือรับเงินค่าหุ้นดังกล่าวจึงรับฟังได้และมีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่าผู้ร้องได้ชำระค่าหุ้นที่ค้างรวม 300,000 บาท ดังกล่าวให้บริษัทจำเลยแล้ว และการชำระเงินค่าหุ้นไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องจดแจ้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นด้วยจึงใช้ยันแก่บริษัทจำเลยรวมทั้งผู้คัดค้านได้ ฎีกาของผู้คัดค้านในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น และเนื่องจากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องได้ชำระค่าหุ้นที่ค้างรวม 300,000 บาท ให้แก่บริษัทจำเลยแล้วดังวินิจฉัยข้างต้น ซึ่งแสดงว่าไม่ได้ค้างชำระค่าหุ้นแก่บริษัทจำเลยอีกแต่อย่างใดคดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ว่า ผู้ร้องได้โอนหุ้นให้นายมานพไปแล้วโดยชอบหรือไม่อีกต่อไป เพราะแม้จะวินิจฉัยก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน

Share