แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219
จำเลยเห็นว่า จำเลยไม่ทราบถึงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 และจำเลยไม่เห็น พ้องด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้น จึงขออุทธรณ์คัดค้านคำสั่งเพื่อประโยชน์ในการฎีกาใหม่ตามมาตรา 224เนื่องจากคำสั่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ไม่เหมาะสมกับ พฤติการณ์แห่งรูปคดีนี้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 40)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง,106 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขแล้ว วางโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 38)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 40)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คำฟ้องฎีกาของจำเลยมีใจความว่า จำเลยขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยให้รอลงอาญาไว้ เป็นการ โต้เถียงดุลพินิจของศาลว่าสมควรเพียงไร จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ไม่มีเจตนากระทำความผิดนั้น เห็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ยกคำร้อง