แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายอีกทั้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับข้อบังคับและระเบียบของจำเลย ซึ่งปฏิบัติกับโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎระเบียบข้อบังคับ และโจทก์ไม่ได้รับการพิจารณาคดีตามคำฟ้อง โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 55)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและสั่งให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและหน้าที่สุดท้ายตามเดิม ในอัตราค่าจ้างสุดท้ายและขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายอันเนื่องมาจากขาดรายได้นับตั้งแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างจนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง(21 เมษายน 2536) เป็นเงิน 125,471.63 บาทและให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายในส่วนที่โจทก์ขาดรายได้ในอัตราเดือนละ 10,550 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จหากจำเลยไม่รับโจทก์กลับเข้าทำงาน ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในส่วนของค่าตอบแทน ค่าจ้างเป็นเงิน4,260,200 บาท
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ในระหว่างที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกมลชัชวาล ได้รับชำระเงินค่าบริการการใช้โทรศัพท์จากผู้ใช้บริการรายหนึ่งเป็นเช็ค1 ฉบับ ซึ่งเป็นการชำระค่าบริการตามใบแจ้งหนี้ 5 ฉบับกับใบเตือน 1 ฉบับรวมกัน แต่โจทก์คืนใบเตือนให้ผู้ใช้บริการและมิได้ออกหลักฐานการชำระเงินส่วนนั้นให้แก่ผู้ใช้บริการเมื่อมีการส่งมอบเช็คและเงินสดให้แก่นายเวรรับฝากเงินสดจำนวน1,199.30 บาท ตามใบเตือนได้ขาดหายไป และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้นำเงินไปส่งให้แก่นายภาณุพงศ์ รวมธรรม ในการส่งเงินโจทก์มิได้ลงบัญชีสมุดรับส่งเงินการที่เงินจำนวน1,199.30 บาท หายไปจึงเกิดจากความบกพร่องในการทำงานของโจทก์ การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเสียชื่อเสียง ผู้ใช้บริการถูกตัดการใช้โทรศัพท์ คณะกรรมการจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงาน เพราะมีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจการเลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์(อันดับ 52)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 53)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานในสำนวนฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้นำเงินสดและเช็คไปส่งมอบให้แก่นายภาณุพงศ์ และโจทก์มิได้รับชำระเงินจำนวนที่ขาดหายไปเป็นเงินสดดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแต่ได้รับเป็นเช็คและมอบเช็คให้จำเลยแล้วนั้นและโจทก์มิได้ทำให้จำเลยเสียหายหรือเสียชื่อเสียงล้วนเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 ส่วนอุทธรณ์ข้อที่ว่า การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานโดยผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีคำสั่งไล่ออกเป็นการไม่ชอบหากศาลฎีกาฟังว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างในส่วนที่โจทก์ได้รับย้อนหลังด้วยนั้น เห็นว่าคดีมีประเด็นเฉพาะข้อที่ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลางที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ให้ยกคำร้อง