แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การขอให้ส่งสำนวนและคำร้องไปให้ผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองหรืออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นไม่ใช่หน้าที่ของศาลที่จะส่งไปให้
ย่อยาว
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลย 5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 12 จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 เว้นแต่ปฏิบัติตามมาตรา 221 สำหรับฎีกาปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยยื่นคำร้องขอให้นายโกวิท สุนทรขจิต ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้ที่ศาลอุทธรณ์เป็นผู้รับรองหรืออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้จึงไม่อาจพิจารณาสั่งในปัญหาข้อนี้ได้ และกรณีเป็นเรื่องของจำเลยที่จะดำเนินการให้มีการรับรองดังกล่าวนี้ได้เอง จึงไม่รับเป็นฎีกาเว้นแต่จำเลยจะได้ดำเนินการดังกล่าวได้ภายในกำหนดอายุฎีกา
จำเลยจึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งอ้างว่าฎีกาของจำเลยบางข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และขอให้สั่งให้ศาลส่งสำนวนและคำร้องไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อนำเสนอนายโกวิท สุนทรขจิตผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิจารณาคดีนี้ในชั้นอุทธรณ์ เพื่อขอให้รับรองหรืออนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้และมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อเท็จจริงไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
ศาลฎีกาสั่งว่า “ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาทั้งสิ้น ส่วนการขอให้ส่งสำนวนและคำร้องไปให้ผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีนี้ในศาลอุทธรณ์รับรองหรืออนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นไม่ใช่หน้าที่ของศาลที่จะส่งไปให้ คำสั่งของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง”