แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นจำคุกจำเลย 1 ปี รับลดกึ่ง เหลือจำคุก 6 เดือนนั้น เห็นว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาจำเลยโต้แย้งข้อเท็จจริงและพยายามเบี่ยงเบนให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นการแก้ไขมาก เพราะเป็นการแก้ไขการใช้ดุลพินิจของศาลเกี่ยวกับการลงโทษ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกทั้งฎีกาที่ว่า ฟ้องโจทก์ขัดแย้งกันเคลือบคลุม ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย และจำเลยได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 45)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 1 ปี จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 39)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 45)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 6 เดือน จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การที่จำเลยฎีกาการใช้ดุลพินิจของศาลเกี่ยวกับการลงโทษเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ในคำฟ้องและใบนำส่งผู้บาดเจ็บท้ายฟ้องระบุวันเกิดเหตุต่าง พ.ศ. กันว่า เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น แม้จะเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้วให้ยกคำร้อง