แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยไม่มี การรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง และเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาแล้วขึ้นโต้เถียงเพื่อนำไปสู่ การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกา จึงมีผลอย่างเดียวกันกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่ง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า คำเบิกความของจำเลย ไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง อันจะเป็นเหตุ เนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2)เป็นการฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 74 แผ่นที่ 2) ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนคืนที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1179เลขที่ 110 ตำบลดู่อำเภอกันทรารมย์จังหวัดศรีษะเกษให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดง เจตนาของจำเลย จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 72) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 73)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงตาม ศาลชั้นต้นว่าจำเลยด่าว่าโจทก์ว่า “อีเฒ่า อีหน้าหมา ทำตัว เป็นหมาหลายเจ้า กินข้าวหลายบ้าน กูไม่นับถือมึงเป็นพี่กูอีก เมื่อไหร่ มึงจะตายเสียที หากกูเป็นมึงกูกินยาตายไปนานแล้ว อย่าได้มาเสียค่ายาให้หนักอกกูอีก มึงจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป กูไม่รับเลี้ยงมึงอีกแล้ว” ที่จำเลยฎีกาทำนองว่าจำเลยไม่ได้ ด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำดังกล่าว แต่เป็นเพียงพี่น้องต่อว่าต่อขาน และโต้เถียงกันเท่านั้น จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง