คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่28ตุลาคม2535เพียงแต่ขอต่อศาลให้อนุญาตโจทก์นำกรรมการบริษัทของโจทก์เข้าสาบานตัวให้คำชี้แจงว่าโจทก์ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลประกอบคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ฉบับลงวันที่13กันยายน2534เท่านั้นมิได้ร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคสี่เมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่13กันยายน2534และศาลฎีกามีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์แล้วคำสั่งดังกล่าวจึงถึงที่สุดโจทก์จะให้กรรมการบริษัทโจทก์สาบานตัวประกอบคำร้องดังกล่าวอีกอันเป็นการขอแก้ไขกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคำร้องที่ไม่ถูกต้องนั้นเสียใหม่ย่อมไม่อาจจะทำได้เพราะไม่มีคำร้องโจทก์เหลืออยู่สำหรับให้โจทก์ดำเนินการแก้ไขกระบวนพิจารณาเสียใหม่ได้ โจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่28ตุลาคม2535ก่อนครบกำหนดเวลาที่จะต้องนำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระตามคำสั่งศาลฎีกาโดยโจทก์เจตนาที่จะให้ศาลภาษีอากรกลางไต่สวนพยานโจทก์และมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาได้ต่อไปเมื่อศาลภาษีอากรกลางสั่งรับคำร้องและนัดไต่สวนโจทก์จึงหลงผิดว่ายังไม่ต้องชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลฎีกาโดยรอฟังผลการไต่สวนและคำสั่งศาลภาษีอากรกลางที่จะมีคำสั่งต่อไปโจทก์จึงมิได้ชำระค่าขึ้นศาลตามกำหนดเวลาที่ศาลฎีกากำหนดไว้เมื่อศาลภาษีอากลางเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวแล้วมีคำสั่งใหม่เป็นให้ยกคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่28ตุลาคม2535จึงต้องกำหนดเวลาให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระในเวลาอันสมควร

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินรวมทั้งสิ้น 6,321,487.03 บาท และคำวินิจฉัยอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาโดยมอบอำนาจให้นายการุน อาศัยป่า เป็นผู้ฟ้องคดีแทน และนายการุณเป็นผู้สาบานตัวตามคำร้อง ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาดังกล่าว
ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า การฟ้องคดีอย่างคนอนาถาผู้ฟ้องต้องสาบานด้วยตัวเองเพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวจึงมอบให้ผู้อื่นสาบานแทนไม่ได้ ยกคำร้องของโจทก์ หากโจทก์ยังติดใจฟ้องคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรมีคำสั่งว่า ศาลภาษีอากรกลางสั่งให้ยกคำร้อง เพราะเหตุโจทก์มิได้สาบานด้วยตนเองในการฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใดถือได้ว่าคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางชอบแล้ว จึงให้ยกคำร้องหากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน 15 วัน แต่โจทก์ไม่มาศาลในวันที่ 22 ตุลาคม 2535ซึ่งเป็นวันนัดอ่านคำสั่งศาลฎีกา ศาลภาษีอากรกลางงดอ่านคำสั่งศาลฎีกา โดยถือว่าคำสั่งนั้นได้อ่านตามกฎหมายแล้ว
วันที่ 28 ตุลาคม 2535 โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้ร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โดยมอบอำนาจให้นายการุณสาบานตัวแทนศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้อง หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระใน 15 วัน ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปตามระเบียบ โจทก์จึงขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์นำกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์เข้าสาบานตัวตามคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาและไต่สวนคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ต่อไป
ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งรับคำร้อง นัดไต่สวน
ระหว่างไต่สวนโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2536 ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่าเนื่องจากศาลฎีกามีคำสั่งว่าหากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งโจทก์ทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2535 โจทก์ต้องนำค่าธรรมเนียมมาชำระตามคำสั่งศาลฎีกาภายในกำหนด แต่โจทก์กลับยื่นคำร้องดังกล่าว ขอนำกรรมการโจทก์เข้าสาบานตัวตามคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำสั่ง (ยก) ไปแล้วอีก การที่ศาลได้มีคำสั่งรับคำร้องและนัดไต่สวนอนาถาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน2535 จึงเป็นการสั่งไปโดยผิดหลงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเสียตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 ให้ยกคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 28 ตุลาคม 2535 เสีย เนื่องจากโจทก์มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนดตามคำสั่งศาลฎีกาจึงไม่รับฟ้องโจทก์ ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 14 ธันวาคม 2536 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เห็นว่า คำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 28 ตุลาคม 2535 นั้นโจทก์เพียงแต่ขอต่อศาลให้อนุญาตโจทก์นำกรรมการบริษัทของโจทก์เข้าสาบานตัวให้คำชี้แจงว่า โจทก์ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลประกอบคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ฉบับลงวันที่ 13 กันยายน 2534 เท่านั้น มิได้ร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจน ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ แต่อย่างใดเมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ ฉบับลงวันที่13 กันยายน 2534 และศาลฎีกามีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์แล้ว คำสั่งดังกล่าวจึงถึงที่สุด โจทก์จะให้กรรมการบริษัทโจทก์สาบานตัวประกอบคำร้องดังกล่าวอีก อันเป็นการขอแก้ไขกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคำร้องที่ไม่ถูกต้องนั้นเสียใหม่ย่อมไม่อาจจะทำได้เพราะไม่มีคำร้องโจทก์ดังกล่าวเหลืออยู่สำหรับให้โจทก์ดำเนินการแก้ไขกระบวนพิจารณาเสียใหม่ได้ ดังนั้นที่ภาษีอากรกลางเพิกถอนคำสั่งลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2535 แล้วมีคำสั่งใหม่ให้ยกคำร้องของโจทก์ ฉบับลงวันที่ 28 ตุลาคม 2535 เสียจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
แต่เนื่องจากโจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 28 ตุลาคม 2535ก่อนครบกำหนดเวลาที่จะต้องนำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระตามคำร้องศาลฎีกาโดยโจทก์เจตนาที่จะให้ศาลภาษีอากรกลางไต่สวนพยานโจทก์และมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาได้ต่อไปเมื่อศาลภาษีอากรกลางสั่งรับคำร้องและนัดไต่สวน โจทก์จึงหลงผิดว่ายังไม่ต้องชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลฎีกาโดยรอฟังผลการไต่สวนและคำสั่งศาลภาษีอากรกลางที่จะมีคำสั่งต่อไป โจทก์จึงมิได้ชำระค่าขึ้นศาลตามกำหนดเวลาที่ศาลฎีกากำหนดไว้ เมื่อศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวแล้วมีคำสั่งใหม่เป็นให้ยกคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 28 ตุลาคม 2535 จึงต้องกำหนดเวลาให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระในเวลาอันสมควร จะอ้างว่าโจทก์ไม่ชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลฎีกาจึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ไปทันทีหาชอบไม่”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งศาลภาษีอากรกลางที่สั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์นั้นเสีย หากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษานี้นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลภาษีอากรกลาง

Share