แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 6 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนแต่แก้ไขโทษเป็นจำคุก 4 ปีโดยไม่แก้บทลงโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง แต่จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นจะนำมาปรับบทกฎหมายว่าจำเลยจะมีความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดหรือไม่ซึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ นั้น จะเป็นความผิดฐานจำหน่ายหรือไม่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงมาปรับเข้ากับตัวบทกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โดยนำข้อเท็จจริงมาประกอบในการเขียนฎีกาเพื่อนำไปวินิจฉัยเข้ากับบทกฎหมายต่อไป อีกทั้งฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ด้วย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1200/2530 ของศาลชั้นต้น ซึ่งถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 ลงโทษจำคุก 6 ปี ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 44)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 96)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาจำเลยข้อ 2.1 อ้างว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยจะต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227มาใช้บังคับ ฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3 ล้วนแต่คัดค้านในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง