แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 บัญญัติบังคับว่าฎีกานั้น ต้องยื่นภายในกำหนดระยะเวลา 1 เดือน นับแต่ วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านให้คู่ความฝ่ายที่ฎีกาฟัง เมื่อ จำเลยมิได้ ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายบังคับไว้ก็ไม่อาจ รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า คดีของจำเลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่และ ที่จำเลยอ้างเหตุว่าทนายจำเลยป่วยเป็นโรคตาแดงนับเป็นเหตุ เหตุสุดวิสัยควรขยายระยะเวลาให้จำเลยยื่นฎีกานั้น เหตุ ดังจำเลยอ้างมิใช่เหตุสุดวิสัย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่งฐานจำหน่ายเฮโรอีน และฐานมีเฮโรอีนจำนวน 4 หลอด ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษ เท่ากันลงโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 8 ปี เพิ่มโทษจำคุก กึ่งหนึ่ง ตามมาตร 97 เป็นจำคุก 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 9 ปี ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิ่มโทษจำเลยให้ลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและไม่รับฎีกาดังกล่าว
จำเลยจึงยื่นคำร้องอุทรณ์ คำสั่งไม่รับฎีกา
ศาลฎีกาสั่งว่า “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 216 บัญญัติบังคับว่า ฎีกานั้น ต้องยื่นภายในกำหนดระยะ เวลา 1 เดือน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านให้คู่ความฝ่ายที่ฎีกาฟัง เมื่อจำเลยมิได้ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายบังคับไว้ ก็ไม่อาจรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาได้ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอีกต่อไปว่าคดีของจำเลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ และที่จำเลยอ้างเหตุว่า ทนายจำเลยป่วยเป็นโรคตาแดง นับเป็นเหตุสุดวิสัยควรขยายระยะเวลาให้จำเลยยื่นฎีกานั้นเห็นว่า เหตุดังจำเลยอ้างมิใช่เหตุสุดวิสัยแต่ประการใด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาและไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลายื่นฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง”