แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 2 ได้ยื่นฎีกา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2536 พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีไม่มีเหตุอันสมควรจะฎีกา ให้ยกคำร้อง หากจำเลยที่ 2ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาเสียภายใน 15 วัน
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรจะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา และคดีนี้มีทุนทรัพย์สูงถึง 4,350,000 บาท ซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เนื่องด้วยจำเลยที่ 2 มีฐานะยากจนและยังมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรสาวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่เกิดกับจำเลยที่ 1 ที่ทิ้งร้างไปตั้งแต่บุตรสาวยังเป็นทารกจำเลยที่ 2จึงไม่สามารถที่จะหาเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลในชั้นฎีกาได้ ขอศาลฎีกาได้โปรดอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 172)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 3160ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเจ้าพนักงานออกให้แก่จำเลยที่ 1 และในขณะนี้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นโมฆะ และขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กับนิติกรรมการจดทะเบียนขายระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ในโฉนดที่ดินเลขที่ 3160 ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวนเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา และให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโอนที่ดินแปลงดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ทั้ง 2 ทันที และให้โจทก์ทั้ง 2 มีกรรมสิทธิ์เช่นเดิม หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนตัวจำเลยที่ 1 ห้ามจำเลยทั้ง 4 และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ 3160ตำบลทรงคะนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งเจ้าพนักงานออกให้แก่จำเลยที่ 1 และขณะนี้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นโมฆะ และให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนยกให้ ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับนิติกรรมการจดทะเบียนขายระหว่าง จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 เสีย กับให้จำเลยที่ 1ไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ทั้งสองทันทีโดยให้โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และห้ามจำเลย ทั้งสี่และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกา(อันดับ 155)
จำเลยที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอ (ที่ถูกคำร้อง)อ้างเหตุว่า คดีไม่มีเหตุสมควรจะฎีกาหากจำเลยที่ 2 ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาเสียภายใน 15 วัน(อันดับ 160,159)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 164)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้จำเลยที่ 2 และโจทก์นำสืบโต้แย้งกันในเรื่องที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยสุจริตหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ เมื่อคดีของจำเลยที่ 2 ไม่ต้องห้ามฎีกาก็ไม่อาจถือได้ว่าคดีไม่มีเหตุอันสมควรจะฎีกาตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจึงให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาคำร้องที่จำเลยที่ 2 ขอฎีกาอย่างคนอนาถาแล้วมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี