แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาข้อ 2.1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ส่วนฎีกาในข้อ 2.2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าว
ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ดังนั้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.3 เป็นการขอให้ศาลตีความว่า การที่จำเลยได้พยายามที่จะใช้หนี้ตามเช็คให้แก่โจทก์ นั้น เป็นการแสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเชนั้น ตามความหมายในมาตรา 3(1) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 หรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายฎีกาข้อ 2.1 ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ก็ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้และศาลมีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเองได้และฎีกาข้อ 2.2 เรื่องการนับกระทงลงโทษนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย และจำเลยมีสิทธิที่จะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ดังกล่าวแล้วข้างต้น ฎีกาของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 80)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ให้เรียงกระทงลงโทษลงโทษสำหรับเช็คฉบับจำนวนเงิน 1,755 บาทจำคุก 1 เดือนลงโทษสำหรับเช็ค 13,000 บาท 20,000 บาท และ 15,540 บาทจำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมจำคุก 7 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 เดือน 15 วัน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 78)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 80)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 2.1 จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว โดยโจทก์อ้างว่าได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไว้ภายในอายุความแล้ว แต่โจทก์มิได้แสดงสำเนาบันทึกการแจ้งความร้องทุกข์เกี่ยวกับเช็คทั้งสี่ฉบับนี้ให้ปรากฏในฟ้องและมิได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกมาเพื่อประกอบการไต่สวนมูลฟ้องเพื่อแสดงว่าโจทก์ได้ร้องทุกข์ไว้แล้วจริง (ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าโจทก์ได้ร้องทุกข์ไว้ภายในอายุความแล้วจำเลยยื่นคำให้การว่ารับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ย่อมถือได้ว่าจำเลยรับสารภาพถึงเรื่องร้องทุกข์ด้วย คดีนี้เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพแล้ว โจทก์ไม่จำต้องสืบพยานประกอบ ศาลก็พิพากษาไปได้ดังนั้น เมื่อจำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคดีขาดอายุความจึงเป็นข้อที่ไม่มีข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้)ฎีกาข้อ 2.2 จำเลยฎีกาว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้โจทก์ 4 ฉบับโจทก์ได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร 2 ครั้ง ๆละ 2 ฉบับธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองครั้ง จำเลยจึงมีความผิดเพียง 2กระทง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเป็น 4 กระทงจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องโจทก์จะเป็นความผิดกี่กระทงนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นฎีกาได้
ฎีกาข้อ 2.3 จำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีการอการลงโทษให้จำเลยเป็นฎีกาดุลพินิจของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จึงให้รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ไว้พิจารณาต่อไป