แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่าฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ซึ่งโจทก์พยายามเขียนบิดเบือนเป็นข้อกฎหมาย คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับฎีกาโจทก์เห็นว่า โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์คันพิพาทแล้วด้วยการซื้อมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นการร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งสี่ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334,335,83,84,86
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูลจึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว(อันดับ 70 แผ่นที่ 2)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 72 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า โจทก์ จำเลยยังโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ไม่มีเจตนาทุจริต แต่โจทก์ฎีกาว่ากรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์เป็นของโจทก์แล้วจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง