คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6250/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนการออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่พิพาท และขอให้พิพากษาว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว ดังนั้น หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีย่อมมีผลให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ โดยถือทุนทรัพย์เท่ากับราคาที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์เรียกร้อง คือ 18,375 บาท ดังนี้ ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงไม่เกิน 50,000 บาท และทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริง ที่จำเลยอุทธรณ์และฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โดยแสดงเจตนาเปลี่ยนการยึดถืออันเป็นการแย่งการครอบครอง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นอุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาดังกล่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่พิพาท โดยโจทก์กับมารดาโจทก์ซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้วได้ร่วมกันซื้อที่ดินดังกล่าวจากนายชะโอด เขียวศิริ กับจำเลย โดยทำสัญญาซื้อขายกันนายชะโอดกับจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ดังกล่าวให้แก่โจทก์ครอบครองนับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยสงบ เปิดเผยและมีเจตนาเป็นเจ้าของมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวได้มีการห้ามโอนกันภายใน 10 ปี จึงไม่มีการจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อมาเป็นชื่อโจทก์และมารดาครั้นถึงกำหนดที่จะโอนที่ดินกันได้ โจทก์ติดต่อให้นายชะโอดไปดำเนินการจดทะเบียนการโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวแต่ในระหว่างดำเนินการนายชะโอดได้ถึงแก่ความตายเสียก่อน หลังจากครบกำหนดการห้ามโอนแล้วโจทก์ก็ยังครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวตลอดมา โดยมีเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 ต่อมาจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายชะโอดได้ยื่นฟ้องขับไล่โจทก์กับมารดาให้ออกจากที่ดินแปลงดังกล่าวในระหว่างการพิจารณาศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยทิ้งฟ้อง ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 634/2533 ของศาลชั้นต้นและต่อมาจำเลยได้ไปยื่นคำร้องขอออกใบแทน น.ส.3 ก. ที่พิพาทดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โดยอ้างว่าฉบับเดิมสูญหาย ซึ่งความจริงแล้วจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าน.ส.3 ก. ฉบับเดิมโจทก์เป็นผู้ยึดถือไว้ และต่อมาจำเลยได้นำใบแทน น.ส.3 ก. ดังกล่าวไปจดทะเบียนขายฝากไว้แก่บุคคลภายนอกและภายหลังได้มีการไถ่ถอนการขายฝากคืนแล้ว การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาให้เจ้าพนักงานที่ดินมีคำสั่งให้เพิกถอนการออกใบแทน น.ส.3 ก. ที่พิพาท และมีคำพิพากษาว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดิน น.ส. 3 ดังกล่าว

จำเลยให้การว่า สัญญาที่โจทก์และนายชะโอดทำขึ้นต่อกันนั้น เป็นสัญญาจะซื้อจะขายและทำขึ้นในขณะที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในที่ดินพิพาทอยู่ในระหว่างการห้ามโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 จึงตกเป็นโมฆะและการที่โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทก็เป็นการครอบครองแทนนายชะโอด โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท นอกจากนี้โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายในอันที่จะขอให้ศาลเพิกถอนการออกใบแทน น.ส.3 ก. ของที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่พิพาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนการออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 303 ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา และขอให้พิพากษาว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว ดังนั้น หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีย่อมมีผลให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ โดยถือทุนทรัพย์เท่ากับราคาที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์เรียกร้อง คือ 18,375 บาท ดังนี้ ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงไม่เกิน 50,000 บาท และทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง และมาตรา 248วรรคหนึ่ง ที่จำเลยอุทธรณ์และฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยแสดงเจตนาเปลี่ยนการยึดถืออันเป็นการแย่งการครอบครองเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นอุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอุทธรณ์ให้จำเลยและที่จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 20 สิงหาคม 2544 ขอให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและหรือศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ลงนามในคำพิพากษารับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงและผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “คดีนี้ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่จำต้องรับรองฎีกาให้อีก ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ” และมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยนั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่มีอำนาจพิพากษาคดีของจำเลย และศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจรับฎีกาของจำเลย ศาลฎีการับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยไม่ได้”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับอุทธรณ์ของจำเลยและยกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย

Share