แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่3814 เลขที่ดิน 310 และโฉนดเลขที่ 56345 เลขที่ดิน 2653 แขวงบางซื่อ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ร่วมกับจำเลยที่ 3 และบุคคลอื่นอีกรวม 9 คน ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของทนายโจทก์ให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาโดยห้ามจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินของจำเลยที่ 3 ดังกล่าว และศาลชั้นต้นได้มีหนังสือที่ ยธ 703/2524 ลงวันที่ 14 มกราคม 2524 แจ้งคำสั่งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครแล้ว ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยที่ 3 มิได้อุทธรณ์ คดีในส่วนของจำเลยที่ 3เป็นอันถึงที่สุด แต่โจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีเลยกำหนด 15 วันนับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับ จึงมีผลให้คำสั่งห้ามชั่วคราวเป็นอันยกเลิกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260(2) ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2533ขอให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งการยกเลิกคำสั่งศาลตามหนังสือยธ ที่ 703/2524 ลงวันที่ 14 มกราคม 2524 แล้ว แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโดยกล่าวว่าผู้ร้องมิใช่คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในคดี ซึ่งผู้ร้องเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวมีผลกระทบต่อผู้ร้องโดยตรงเพราะทำให้กรรมสิทธิ์ในส่วนของผู้ร้องไม่สามารถจำหน่าย จ่ายโอนหรือกระทำนิติกรรมใด ๆ ได้ โดยผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความของคดีนี้แต่ประการใด เดิมที่ดินทั้งสองแปลงและที่ดินแปลงอื่น ๆ อีก 10 แปลงเป็นที่ดินผืนใหญ่แปลงเดียวกัน บิดามารดาได้ทำการแบ่งแยกที่ดินยกให้ผู้ร้องและจำเลยที่ 3 รวมทั้งพี่น้องคนอื่น ๆ โดยให้ทุกคนถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินทั้งสองแปลง เพื่อให้ทุกคนร่วมกันใช้เป็นทางเดินออกสู่ทางสาธารณะ ต่อมาเมื่อต้นปี2533 ผู้ร้องได้นำที่ดินตามโฉนดเลขที่ 56342 เลขที่ดิน 2650ซึ่งเป็นของผู้ร้องออกขาย ผู้จะซื้อตกลงที่จะซื้อแต่มีข้อแม้ว่าผู้ร้องต้องจดภาระจำยอมหรือโอนกรรมสิทธิ์รวมในส่วนของผู้ร้องในโฉนดที่ดินเลขที่ 3841 และโฉนดเลขที่ 56345 ให้กับผู้จะซื้อเพื่อได้อาศัยเป็นทางออก ผู้ร้องได้ตกลงและทำสัญญาจะซื้อขายแต่ผู้ร้องไม่สามารถโอนที่ดินในส่วนของผู้ร้องตามโฉนดเลขที่ 3841และโฉนดเลขที่ 56345 ให้กับผู้จะซื้อได้ นอกจากนี้นางมุกดาขำเกษมเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินทั้งสองแปลงก็เคยติดต่อกับโจทก์เพื่อขอให้โจทก์ทำการถอนการยึดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว โจทก์ก็ไม่ขอเพิกถอนเว้นแต่จะเสนอค่าตอบแทนตามสมควร และโจทก์ก็มิได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินทั้งสองแปลงเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้กับโจทก์ คงปล่อยให้เรื่องค้างอยู่จนถึงปัจจุบัน เมื่อคำสั่งห้ามจำหน่าย จ่ายโอนหรือกระทำนิติกรรมใด ๆตามหนังสือที่ ยธ 703/2524 ได้ถูกยกเลิกแล้วตามมาตรา 260 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องขอศาลได้โปรดมีหนังสือแจ้งยกเลิกคำสั่งที่ ยธ 703/2524 ลงวันที่ 14 มกราคม 2524 ต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การขาดนัดพิจารณาและได้ถึงแก่กรรมในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นายธีระเดช เสรีโยธิน เข้าเป็นคู่ความแทนระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 7 ชำระเงินแก่โจทก์ 20,000 บาท
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 7 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางสิเนห์กนกมณีจำเลยที่ 3 กับนางชูชิตร์ชื่นบุปผา จำเลยที่ 4 ร่วมกันรับผิดใช้เงิน 3,194,525.91 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 2,991,200 บาท นับแต่วันฟ้อง (27 มิถุนายน 2522)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จโดยให้นางตวงศิริภูมิรัตน์จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 3,194,525.91 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 2,991,200บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปดังกล่าวต่อโจทก์ด้วย หากไม่ชำระก็ให้บังคับจากทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 จำนองโดยให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ หากไม่พอก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 มาชำระหนี้โจทก์จนครบ และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมด้วย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็น ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา (อันดับ 359)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 370)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องก็ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ ผู้ร้องจะมาร้องขอต่อศาลฎีกาให้มีคำสั่งดังที่ผู้ร้องร้องขออีกหาได้ไม่ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ