แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับเฉพาะฎีกาปัญหาฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ส่วนฎีกาข้ออื่นเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โดยฎีกาข้อ 3 เป็นปัญหาว่า โจทก์ผู้ทรงเช็คพิพาทได้รับเช็คมาด้วยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่และข้อ 4 เป็นปัญหาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีอาญาและคดีแพ่งเรื่องเช็คฉบับเดียวกันขัดกันเอง เป็นปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 146 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 109 แผ่นที่ 2)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินตามเช็คจำนวน 71,700 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 2 มกราคม 2533เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 103)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 108)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 3 ที่ว่า โจทก์ผู้ทรงเช็คพิพาทได้รับเช็คมาด้วยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ส่วนฎีกาข้อ 4 ที่ว่า คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ในคดีอาญาและคดีแพ่งเรื่องเช็คฉบับเดียวกันขัดกันเองนั้น เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อ 3 และข้อ 4 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ