คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1864/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีต้องห้ามโจทก์อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษแก่จำเลย อันเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษและเป็นปัญหาข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่รอการลงโทษจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ จำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีของมารดารวม 5 ครั้ง โดยมีเจตนาเบียดบังเงินส่วนที่เหลือจากการนำไปใช้จ่ายตามคำสั่งมารดาก่อนตายเป็นเจตนาเดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 353
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีหน้าที่ดูแลจัดการเงินของมารดาซึ่งฝากไว้กับธนาคาร หลังจากมารดาจำเลยถึงแก่กรรมจำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวรวม 5 ครั้ง โดยมีเจตนาถอนเงินทยอยออกมาเป็นคราว ๆ นำไปใช้จ่ายตามคำสั่งมารดาและเพื่อประโยชน์ของตนระคนปนกันไปเป็นเจตนาเบียดบังเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายดังกล่าว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ให้ลงโทษจำคุก 9 เดือน ปรับ 3,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมและขอให้ไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กระทงละ 2 เดือน รวม 5 กระทงจำคุก 10 เดือน ไม่รอการลงโทษให้จำเลยและไม่ปรับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาประการแรกที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ที่ขอให้ไม่รอการลงโทษแก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่รอการลงโทษแก่จำเลยและไม่ปรับจึงเป็นการไม่ชอบปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ คดีมีปัญหาตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยประการต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน การวินิจฉัยข้อกฎหมายเช่นนี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีของนางผิน 5ครั้ง โดยมีเจตนาเบียดบังเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายดังกล่าวดังนี้ไม่ว่าจำเลยจะเบิกถอนเงินจากบัญชีนางผินกี่ครั้งก็ตาม จำเลยก็มีเพียงเจตนาเดียวเพื่อที่จะเบียดบังเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายเท่านั้น จำเลยหาได้มีเจตนาที่จะเบียดบังเงินทุกครั้งที่เบิกถอนไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share