แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ไม่รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกานั้น เห็นว่าไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในข้อกฎหมายที่ว่า โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้อง เพราะหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ปิดอากรไม่ครบถ้วน ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร และลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไม่ใช่ ลายมือชื่อที่แท้จริงของผู้มอบอำนาจหนังสือมอบอำนาจ จึงไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมายปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวนี้ เป็นสาระสำคัญแห่งคดีอันมีผลให้คดีถึงแพ้และชนะกันได้ โปรดมี คำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน30,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2532 ถึงวันที่21 กันยายน 2532 และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน30,000 บาท นับแต่วันที่ 22 กันยายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 3,119.18 บาท(ฟ้องวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2533)
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 3)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (ถ้อยคำสำนวน อันดับ 1)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องแม้ต่อมาโจทก์ได้นำอากรแสตมป์มาปิดจนครบถ้วน ก็เป็นการไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เป็นการฟ้องคดีโดยไม่ได้รับมอบอำนาจ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระแก่คดีให้รับฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้พิจารณาต่อไป
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจ ไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น ศาลล่าง ทั้งสองฟังพยานหลักฐานต้องกันว่า เป็นลายมือชื่อที่แท้จริง ของผู้มอบอำนาจ ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยข้อนี้ชอบแล้ว