แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของผู้ร้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแม้จะอ้างปัญหาข้อกฎหมายแต่การวินิจฉัยต้องอาศัยข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกาผู้ร้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้ผู้ร้อง ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 76) ส่วนโจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 78) กรณีเป็นชั้นร้องขัดทรัพย์ คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงิน ตามเช็ค ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 270,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ ของจำเลยรวม 12 รายการ เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ ให้โจทก์ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์สินที่โจทก์ นำยึดทั้งหมดเป็นของผู้ร้อง ยกเว้นรายการที่ 11 เป็นของจำเลย ผู้ร้องและจำเลยเคยเป็นสามีภริยากัน แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และไม่เคยอยู่กินด้วยกัน ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 71) ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 72)
คำสั่ง ที่ผู้ร้องฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับฟังพยานโจทก์ คือนางเกตุอุบลและนางสินีรัตน์นั้น พยานเหล่านี้ไม่น่ารับฟังเพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดี และทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ฎีกาของผู้ร้องจึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง