แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ เป็นคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243จำเลยมีสิทธิฎีกาได้ตามมาตรา 247
ย่อยาว
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิจารณาใหม่ตามรูปคดีต่อไป ศาลนี้จึงมีคำสั่งให้นัดสืบพยานโจทก์ตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(1) จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลยทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิใช่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เพราะเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว คดีได้เสร็จสิ้นจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่กระบวนพิจารณาคดีอีกต่อไปในชั้นอุทธรณ์ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง กับขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 50) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 51)
คำสั่ง
วันที่ 21 เดือนธันวาคม พุทธศักราช 2538
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าประเด็นข้อสองเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว แต่จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่เคยสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงทำการสืบพยานโจทก์จำเลยให้ได้ความจริงเสียก่อน หากได้ความว่าจำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้วเมื่อพ้นกำหนดเวลาห้ามโอนโจทก์อาจได้สิทธิครอบครองก็ได้และพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ อันเป็นคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) ซึ่งจำเลยมีสิทธิฎีกาได้ตามมาตรา 247 ทั้งยังเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป