คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 76(2) บัญญัติว่าเงินค่าทดแทนนั้น ให้กำหนดเท่าราคาทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่ พ.ร.ฎ. กำหนดแนวทางหลวงใช้บังคับ เมื่อพ.ร.ฎ. ดังกล่าวออกใช้บังคับในวันที่ 20 ธันวาคม 2524 การกำหนดค่าทดแทนให้กับโจทก์ต้องถือเอาราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดในวันดังกล่าว แต่เมื่อในวันที่ พ.ร.ฎ.ใช้บังคับไม่มีการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินกันในบริเวณที่ถูกเวนคืนก็มิใช่ว่าจะต้องถือเอาราคาประเมินเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของสำนักงานที่ดินมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าทดแทนแต่เพียงอย่างเดียว ในกรณีเช่นนี้ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจ กำหนดราคาซื้อขายที่ดินของโจทก์ตามราคาธรรมดาในท้องตลาดในวันที่ พ.ร.ฎ. ใช้บังคับได้ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 67 บัญญัติว่าในกรณีที่ศาลพิพากษาให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ชำระเงินเพิ่มขึ้นให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินนั้นตั้งแต่วันที่ พ.ร.ฎ.กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับเมื่อจำเลยยังมิได้ชำระเงินให้แก่โจทก์เลย ไม่ว่าจะเป็นเงินที่จำเลยกำหนดให้ หรือที่ศาลพิพากษาให้เพิ่มขึ้น จำเลยก็ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินที่โจทก์สมควรจะได้รับนับแต่วันที่ พ.ร.ฎ.ใช้บังคับ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมกันในโฉนดเลขที่4236 และ 8093 แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 1 ไร่17 ตารางวา และ 2 งาน 79 ตารางวา ตามลำดับ ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกันและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินทั้งสองแปลงคือ อาคารเลขที่ 26 จำเลยที่ 1เป็นส่วนราชการ มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 วันที่ 18 ธันวาคม 2524 ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-สานเสนนอก พ.ศ. 2524 ปรากฏว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ทั้งสองอยู่ในท้องที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นแนวทางหลวง เป็นจำนวนเนื้อที่ 2งาน 99 ตารางวา วันที่ 12 ตุลาคม2525 จำเลยที่ 2 มีหนังสือถึงโจทก์ทั้งสองว่าจะเข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ทั้งสองในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2525 และให้โจทก์ทั้งสองไปติดต่อขอรับเงินค่าทดแทน เป็นเงิน 1,113,000 บาทจากจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรมตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76 และตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 74(4) จึงต้องกำหนดเงินค่าทดแทนอาคารและสิ่งปลูกสร้างอื่นพร้อมพืชผลให้โจทก์ทั้งสองเป็นเงินทั้งสิ้น 3,110,000 บาท สำหรับที่ดินของโจทก์ทั้งสองถูกเวนคืนรวม 299 ตารางวา คิดเป็นเงินค่าทดแทน 7,475,000 บาท รวมเป็นเงินค่าทดแทนทั้งสิ้น 10,585,000 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าทดแทนจำนวน 10,585,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้มีหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1การกำหนดค่าทดแทน จำเลยที่ 2 ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์บัญญัติไว้ทุกประการโดยกำหนดค่าทดแทนรื้อถอนขนย้ายอาคารพิพาทของโจทก์ทั้งสองเป็นเงิน1,113,000 บาท โจทก์ทั้งสองต่างไม่ยอมรับ การคิดคำนวณราคาค่าทดแทนอาคารพิพาทของโจทก์ทั้งสองสูงเกินความจริง ค่าทดแทน 1,113,000 บาทเป็นราคาที่ได้คิดราคาทางเดินระหว่างอาคารและรายการเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ รวมไว้ด้วยแล้ว สภาพที่ดินของโจทก์ทั้งสองมิใช่ทำเลาที่ประกอบกิจการค้าหรือทำธุรกิจแต่เหมาะสมที่จะใช้อยู่อาศัยโดยที่ดินโฉนดเลขที่ 4236 ที่เหลือจากการเวนคืน มิได้ทำให้มีราคาสูงขึ้นเป็นพิเศษ จึงกำหนดค่าทดแทนตารางวาละ 2,000 บาท รวมเป็นเงินค่าทดแทน 594,000 บาท ส่วนโฉนดเลขที่ 8093 เนื้อที่ดินที่เหลือมีมากสามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่และย่อมมีราคาสูงขึ้นเป็นพิเศษเพราะเหตุที่ได้มีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ จึงกำหนดค่าทดแทนตารางวาละ 1,000 บาท เป็นเงินค่าทดแทน 2,000 บาท แม้ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 67 จะได้มีบทบัญญัติให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้รับดอกเบี้ย ก็เป็นเพียงบทบัญญัติที่ก่อให้เกิดสิทธิกับเจ้าของทรัพย์เฉพาะกรณีที่ถือว่ามีการกำหนดค่าเวนคืน โดยไม่เป็นธรรมเท่านั้น จำเลยที่ 2 พร้อมที่จะจ่ายเงินค่าทดแทนตามจำนวนที่จำเลยที่ 2 กำหนดไว้ แต่โจทก์ทั้งสองกลับปฏิเสธและไม่เคยทวงถาม จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากจะฟังว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ จำเลยทั้งสองก็ควรรับผิดเฉพาะในจำนวนเงินส่วนที่ศาลได้พิพากษาให้จำเลยชดใช้ให้กับโจทก์ทั้งสองเกินกว่าที่จำเลยที่ 2 ได้กำหนดให้โจทก์ทั้งสองไว้แล้วนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงฯ พ.ศ. 2524ประกาศใช้บังคับเท่านั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้โจทก์ได้รับค่าทดแทนที่ดินจำนวน2,392,000 บาท ค่าทดแทน ค่าโรงเรือน ค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างจำนวน1,992,670 บาท และค่าไม้ยืนต้นหรือพืชผลจำนวน 7,330 บาทรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 4,392,000 บาท พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 4,392,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในฐานเจ้าหน้าที่เวรคืนอสังหาริมทรัพย์ มิใช่ในฐานะส่วนตัวร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 4236 และ 8093 แขวงคลองเตย เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ดังกล่าวอยู่ในเขตเวนคืนเพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินสายรัชดาภิเษก ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23 และพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2514 และพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกพ.ศ. 2526 เป็นเนื้อที่ 2 งาน 99 ตารางวา ในการพิจารณาค่าทดแทนที่ดิน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ทั้งสอง คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 4236ซึ่งถูกเวนคืน 2 งาน 97 ตารางวา ในอัตราตารางวาละ 2,000 บาทเป็นเงิน 594,000 บาท โฉนดเลขที่ 8093 ซึ่งถูกเวนคืน 2 ตารางวาในอัตราตารางวาละ 1,000 บาท เป็นเงิน 2,000 บาท และค่าทดแทนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง เป็นเงิน 1,113,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,709,000 บาท แต่โจทก์ทั้งสองโต้แย้งว่า ค่าทดแทนที่คณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์กำหนดให้แก่โจทก์ไม่ถูกต้องเป็นธรรมจึงนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้สร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกและจำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ให้ร่วมกันชำระค่าทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสองรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 10,585,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย คดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแต่เฉพาะในปัญหาว่า การกำหนดค่าทดแทนของคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่โจทก์ทั้งสองชอบด้วยความเป็นธรรมหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ในการพิจารณากำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนให้แก่โจทก์ทั้งสอง คณะกรรมการเวนคืนได้อาศัยราคาที่ดินตามบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์ สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ซึ่งใช้บังคับในปี พ.ศ. 2526 และพ.ศ. 2514 ตามลำดับ เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสอง ราคาที่ดินตามบัญชีดังกล่าวเป็นราคาที่คำนวณมาจากราคาเฉลี่ยในการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินในแต่ละท้องที่และเป็นราคาที่ถูกต้องกับความเป็นจริง ถือได้ว่าเป็นราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาด ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงเทศบาลใช้บังคับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะมีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2514 กำหนดแนวทางหลวงแผ่นดินผ่านที่ดินของโจทก์ทั้งสองแล้วก็ตามแต่ต่อมา ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524 โดยพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวนี้ได้กำหนดใด้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาแทนอธิบดีกรมทางหลวงซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติเป็นผู้รักษาการตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23พระราชกฤษฎีกาที่ออกใช้บังคับในครั้งหลังนี้จึงมีผลเท่ากับเป็นการยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 23 ไปโดยปริยาย ดังนั้น เมื่อมีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515ข้อ 76 บัญญัติว่าเงินค่าทดแทนนั้น ถ้าไม่มีบทบัญญัติเป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งออกตามข้อ 63 แล้วให้กำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันดังต่อไปนี้ “…(2) ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงใช้บังคับในกรณีที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเช่นว่านั้น…” และพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524 ได้ออกใช้บังคับในวันที่ 20 ธันวาคม 2524 ในการกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ทั้งสองจึงต้องถือเอาราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายกันในท้องตลาดในวันดังกล่าว ที่จำเลยทั้งสองกำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยนำเอาราคาที่ดินตามบัญชีกำหนดราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ที่ใช้บังคับในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งเป็นปีที่พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2526 และในปี พ.ศ. 2514 ซึ่งเป็นปีที่มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 23 ใช้บังคับ จึงหาเป็นการชอบไม่…
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นำหลักฐานการซื้อขายที่ดินในละแวกอื่นมาประกอบการพิจารณากำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ทั้งสองเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76 ที่กำหนดให้ใช้ค่าทดแทนทรัพย์สินที่ถูกเวนคืนตามราคาธรรมดาในท้องตลาดตามความเป็นจริงในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ เป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบได้ มิได้หมายความว่า ถ้าในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับไม่มีการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินกันในบริเวณที่ถูกเวนคืนแล้ว จะต้องถือเอาราคาประเมินเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของสำนักงานที่ดินมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าทดแทนแต่เพียงอย่างเดียว ในกรณีเช่นนี้ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดราคาซื้อขายที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามราคาธรรมดาในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับได้ ดังนั้นเมื่อได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์ว่า มีการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 6325 กับโฉนดเลขที่ 6327 ซอยสุขุมวิท 19 เมื่อวันที่ 17กันยายน 2524 ราคาตารางวาละ 16,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่163291 ถึง 163293 ซึ่งอยู่ในซอยสุขุมวิท 7 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม2525 และวันที่ 30 ธันวาคม 2525 ในราคาตารางวาละ 15,000 บาทที่ดินที่ซื้อขายกันดังกล่าวนี้อยู่เยื้องกับซอยที่ 16 ที่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองตั้งอยู่ และที่ดินของโจทก์อยู่ติดซอยสุขุมวิท 16 อยู่ห่างปากซอยประมาณ 200 เมตร ซอยกว้าง 8-10 เมตร สภาพที่ดินเป็นทำเลที่อยู่อาศัย ศาลล่างทั้งสองจึงใช้ดุลพินิจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบการพิจารณากำหนดเป็นค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองในอัตราตารางวาละ 8,000 บาทได้ และแม้จะกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้ในอัตราเดียวกันทั้ง 2 โฉนด ก็เป็นการชอบเพราะที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีสภาพติดต่อเป็นผืนเดียวกัน…
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองจะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองไม่ได้เพราะโจทก์ทั้งสองไม่ยอมรับเงินทดแทนจากจำเลยทั้งสองเอง หากจำเลยทั้งสองจะต้องชำระดอกเบี้ยก็เฉพาะแต่เงินค่าทดแทนที่ศาลให้ชำระเพิ่มขึ้น และนับแต่วันที่ 31 มีนาคม 2526 ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีผลใช้บังคับให้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองถูกเวนคืนเท่านั้น เห็นว่า ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 67 บัญญัติว่า “…ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ชำระเงินเพิ่มขึ้น ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินนั้น ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับ…” ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทั้งสองยังมิได้ชำระเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสองเลย ไม่ว่าจะเป็นเงินที่จำเลยทั้งสองกำหนดให้หรือที่ศาลพิพากษาให้เพิ่มขึ้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินที่โจทก์ทั้งสองสมควรจะได้รับนับแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2524 อันเป็นวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวงทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงเทศบาลสายรัชดาภิเษกตอนแขวงวัดท่าพระ-แขวงสามเสนนอก พ.ศ. 2524 ใช้บังคับจึงชอบแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share