คำสั่งคำร้องที่ 2791/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาในตอนต้นซึ่งเป็นข้อกฎหมายนี้มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ทั้งเป็นฎีกาที่ไร้สาระ ส่วนฎีกาในตอนท้ายเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาจำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อแรกเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและข้อสองเป็นปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 35)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4,5,6,9,14,31,35 ฯลฯจำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก3 เดือน ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 30)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 32)

คำสั่ง
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตัดฟันไม้อันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต ซึ่งมีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกไม่ถึงห้าปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษได้โดยไม่ต้องสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176การที่จำเลยฎีกาว่าแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลจะพิพากษาลงโทษโดยไม่สืบพยานไม่ได้ อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งจำเลยยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาได้ก็ตาม แต่เมื่อฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยนี้ไม่อาจชนะคดีดังเหตุผลข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยนี้จึงชอบแล้ว ส่วนฎีกาข้อหลังเป็นเรื่องขอให้ศาลฎีการอการลงโทษให้จำเลยอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามมาตรา 218 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วเช่นกัน ให้ยกคำร้อง

Share