แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า รับอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะข้อ 2.5 ที่ว่าจำเลยจะต้องจ่ายเงินสะสมให้แก่โจทก์หรือไม่ สำหรับข้อ 2.2 ที่ว่าเงินค่าอาหารและค่าช่วยเหลือบุตรเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างหรือไม่นั้น แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในฟ้องจึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทส่วนอุทธรณ์อื่น ๆ ของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 การที่จำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์จากตำแหน่งผู้จัดการธนาคารจำเลย สาขาลพบุรี มาเป็นพนักงานประจำสำนักงานภาคกลาง 2 โดยมิได้มอบหมายงานให้ทำเป็นคำสั่งอันไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1ซึ่งตามระเบียบดังกล่าวไม่ได้ระบุอำนาจให้สั่งย้ายได้ ประเด็นข้อนี้ศาลแรงงานกลางมิได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดไว้แต่อย่างใด จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ข้อ 2.2 เงินค่าอาหาร ค่าช่วยเหลือบุตร ค่าเลี้ยงชีพ และค่าเช่าบ้าน ถือว่าเป็นค่าจ้างต้องนำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย แม้โจทก์จะมิได้กล่าวไว้ในคำฟ้อง แต่ในชั้นพิจารณาก็ได้มีการโต้เถียงกันว่าเงินค่าจ้างที่โจทก์ได้รับมีค่าอาหารและค่าช่วยเหลือบุตรรวมอยู่ด้วยหรือไม่ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ข้อ 2.4 โจทก์อุทธรณ์เกี่ยวกับการตีความตามตัวบทกฎหมาย มาตรา 48 และ 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ว่ามีการกระทำของลูกจ้างขนาดไหนเพียงไร จึงจะเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมข้อ 2.5 ในเรื่องของเงินโบนัส ไม่มีการดำเนินการตามขั้นตอนในการพิจารณาลงโทษตามระเบียบ และมีการลงโทษย้อนหลังไปในปี 2528 ด้วยจึงเป็นการไม่ชอบด้วยระเบียบ ทุกข้อที่กล่าวเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ข้อที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 111)ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 74,100 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ส่วนคำขออื่น ๆ ของโจทก์ให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยบางข้อ (อันดับ 99,100)
เฉพาะโจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 104)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว โจทก์อุทธรณ์ตามข้อ 2.1 ว่า จำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์จากตำแหน่งผู้จัดการสาขาลพบุรี มาเป็นพนักงานประจำสำนักงานภาคกลาง 2 เป็นการลดตำแหน่งของโจทก์ลง มิชอบด้วยระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ซึ่งศาลแรงงานกลางมิได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้ เป็นการมิชอบ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างย้อนหลัง หรือให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย และให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เนื่องจากจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมและโจทก์ไม่มีความผิด และให้จำเลยใช้เงินที่จำเลยสั่งลดขั้นเงินเดือนโจทก์และเงินสะสม เงินโบนัสที่จำเลยยังไม่ได้จ่ายให้โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 โจทก์อุทธรณ์ตามข้อ 2.2 ว่าเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์คือค่าอาหารและเงินค่าช่วยเหลือบุตร ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ซึ่งต้องนำมารวมเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย เห็นว่าเป็นข้อที่โจทก์มิได้กล่าวอ้างในคำฟ้องจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โจทก์อุทธรณ์ตามข้อ 2.3 ว่าโจทก์ไม่ได้กระทำการอันไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตซึ่งจำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเห็นว่า อุทธรณ์ข้อนี้เป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าโจทก์กระทำการอันไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้อง และสุจริต อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54โจทก์อุทธรณ์ตามข้อ 2.4 ในประการแรกโดยยกเหตุต่าง ๆ ขึ้นอ้างแล้ว ขอให้ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์มิได้มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริตเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังว่า แม้โจทก์ไม่ได้กระทำการทุจริต แต่มีเหตุสมควรเชื่อว่าโจทก์มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น และที่โจทก์อุทธรณ์ว่าแม้โจทก์กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย แต่ก็มิใช่กรณีร้ายแรง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เห็นว่า เมื่อได้ความว่าโจทก์มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต อันมีเหตุสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้แล้วอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเช่นเดียวกัน และที่โจทก์อุทธรณ์ตามข้อ 2.5 เกี่ยวกับเรื่องเงินโบนัสว่า โจทก์ไม่มีความผิดตามที่จำเลยได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตามเอกสารหมาย ล.4 ข้อ 6.1 ที่จำเลยงดจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย เห็นว่า ในข้อนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมิได้งดจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ โดยจำเลยได้จ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วก่อนที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ คดีไม่มีประเด็นว่าโจทก์มีความผิดหรือไม่ อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นเช่นเดียวกัน ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวมาแล้ว จึงชอบแล้วให้ยกคำร้อง