แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีโจทก์ มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท โจทก์ฎีกาทุกข้อโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไข จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาล ชั้นฎีกาทั้งหมด
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องตามประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินมาพิจารณาพิพากษาคดีนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเจ้าพนักงานที่ดินไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 31 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งเพาะปลูกทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์ ทำให้ที่ดิน ของโจทก์กลับสู่สภาพเดิม หากจำเลยไม่กระทำ ให้โจทก์ มีอำนาจกระทำเอง โดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 191)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 198)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้วให้เหตุผลอย่างเดียวกันว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท มาเกินกว่า 10 ปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแล้ว การที่โจทก์อ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ต้องอาศัยข้อเท็จจริง เพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริง ฟังยุติแล้วว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ การเถียงข้อเท็จจริง ของโจทก์เพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ถือว่าเป็นการ โต้แย้งคัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา โจทก์นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง