คำสั่งคำร้องที่ 265/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อ 2 นอกนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับ
จำเลยทั้งห้าเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 4 ที่ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทมากว่า 40 ปี ย่อมได้ข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า จำเลยยึดถือเพื่อตนและครอบครองโดยสุจริตและโจทก์ไม่สามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของ กฎหมายได้ จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ข้อ 5 ที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และข้อ 5.2 ที่ว่า การที่ศาลกำหนด ประเด็นแล้ววินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยมิได้หยิบยก พยานหลักฐานของโจทก์ขึ้นวินิจฉัย จึงไม่ชอบด้วย กฎหมายนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น และคดีนี้ เป็นคดีทุนทรัพย์ที่ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาข้อ 3 จึงไม่ต้องห้ามฎีกาโปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของจำเลยทั้งห้าไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 209)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทตามระบุไว้ในแผนที่พิพาท หมาย จ.ล.1 ให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่พิพาทดังกล่าวด้วย ให้จำเลย ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราไร่ละ 250 บาท ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวาร จะออกจากที่พิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว(อันดับ 191)
จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 197)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อ 3 นั้น จำเลย กล่าวเฉพาะทางนำสืบของจำเลยและโจทก์เท่านั้น ไม่มีข้อที่ ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัย สำหรับฎีกาของจำเลยข้อ 4 ที่ว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทในฐานะเจ้าของมาเป็นเวลา 40 ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทนั้น เท่ากับจำเลย โต้เถียงข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยนั่นเอง ส่วนฎีกาของจำเลยข้อ 5(2) ที่ว่า ศาลวินิจฉัยคดีโดย ไม่ได้หยิบยกพยานของโจทก์ขึ้นพิจารณาว่ารับฟังได้หรือไม่นั้น เป็นการคัดค้านดุลพินิจของศาลในเรื่องการรับฟังพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อดังกล่าว ชอบแล้ว
ส่วนฎีกาของจำเลยข้อ 5(1) ที่จำเลยโต้เถียงว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้าม มิให้ฎีกา ให้รับฎีกาของจำเลยข้อ 5(1) ไว้ดำเนินการต่อไป

Share