คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 893/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาลเป็นหนังสือระบุว่าจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายหรือดำเนินคดีทางแพ่งเกี่ยวกับสัญญาว่าจ้างที่เป็นมูลเหตุให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทคดีนี้อีก อันเป็นการะงับข้อพิพาท จึงบังคับกันได้ตามกฎหมายไม่ต้องทำต่อหน้าศาลเสมอไป แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมีข้อตกลงว่าหากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์ดำเนินคดีอาญาต่อไปทันที และเมื่อจำเลยชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว ยอมให้หนี้ตามเช็คในคดีอาญาสิ้นผลผูกพัน โจทก์จะถอนฟ้อง ก็มิใช่เป็นเงื่อนไขบังคับก่อนที่เป็นผลให้มูลหนี้ระงับต่อเมื่อจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วน ดังนั้น มูลหนี้ที่ออกเช็คพิพาทจึงได้สิ้นผลผูกพันไปแล้วคดีเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายสั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) สาขาห้วยขวาง ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2539 จำนวนเงิน65,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าจ้างตกแต่งภายในและทำเฟอร์นิเจอร์ อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อถึงกำหนดโจทก์นำเช็คเรียกเก็บแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2539 โดยให้เหตุผลว่าบัญชีปิดแล้ว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับเงินตามเช็คจำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกันออกเช็คที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้ว ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีได้ความว่าระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นส่งคดีไปไกล่เกลี่ยยังศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกระทรวงยุติธรรมตามความประสงค์ของโจทก์และจำเลยทั้งสองต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสองแถลงว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันได้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยทั้งสองตกลงผ่อนชำระเงินตามเช็คจำนวน 4 งวด งวดละ 15,000 บาทหากจำเลยทั้งสองชำระเงินครบถ้วนจะถอนฟ้องรายละเอียดปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 14กรกฎาคม 2540 ปัญหามีว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมายและมีผลให้มูลหนี้ตามเช็คพิพาทระงับไปหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความในชั้นไกล่เกลี่ยเป็นพยานหลักฐานที่เกิดจากแรงจูงใจ คำมั่นสัญญาที่ศาลจะไม่นำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226 นั้น เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวทำขึ้นโดยความสมัครใจของโจทก์และจำเลยทั้งสอง ไม่จำเป็นต้องกระทำต่อหน้าศาลหรือต่อผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเสมอไปอาจกระทำกันนอกศาลได้ ทั้งมิใช่พยานหลักฐานที่เกิดจากแรงจูงใจหรือคำมั่นที่ผิดข้อตกลงดังที่โจทก์อ้าง เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายโดยมีข้อความระบุว่าจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายหรือดำเนินคดีทางแพ่งเกี่ยวกับสัญญาว่าจ้างอันเป็นมูลเหตุให้จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คพิพาทคดีนี้อีกเป็นการระงับข้อพิพาทในมูลหนี้ที่สั่งจ่ายเช็คพิพาท สัญญาประนีประนอมยอมความจึงบังคับกันได้ตามกฎหมาย มีผลทำให้สิทธิเรียกร้องหนี้ตามเช็คที่โจทก์ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปและโจทก์ได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมีข้อตกลงว่าหากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยอมให้โจทก์ดำเนินคดีอาญาต่อไปทันทีและเมื่อจำเลยทั้งสองชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว โจทก์ยอมให้หนี้ตามเช็คในคดีอาญาสิ้นผลผูกพันไปทั้งฉบับ โจทก์ตกลงว่าจะไปขอถอนฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น ก็มิใช่เป็นเงื่อนไขบังคับก่อนที่เป็นผลให้มูลหนี้ระงับต่อเมื่อจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนไม่ ดังนั้น มูลหนี้ที่ออกเช็คตามฟ้องจึงได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วคดีเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิที่โจทก์จะนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share