แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า การที่ศาลรับฟังว่าเช็คพิพาทเป็น เช็คค้ำประกันเป็นการรับฟังพยานหลักฐานผิดไปจากพยานหลักฐาน ในท้องสำนวนนั้นเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริง จากพยานหลักฐานในสำนวนโดยแท้ หาใช่ฟังข้อเท็จจริงผิดไปจาก พยานหลักฐานในท้องสำนวนแต่อย่างใดไม่ ข้อกฎหมายที่โจทก์อ้าง เป็นฎีกาขึ้นมาจึงไม่มี ศาลชั้นต้นชอบที่จะไม่รับฎีกาของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาโจทก์เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 จึงไม่รับ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาสั่งว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลรับฟังว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คค้ำประกัน เป็นการรับฟังพยานหลักฐานผิดไปจากพยานหลักฐานในท้องสำนวนนั้น เห็นว่าข้อที่โจทก์ฎีกามานี้เป็นข้อที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนโดยแท้ หาใช่ฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในท้องสำนวนแต่อย่างใดไม่ ข้อกฎหมายที่โจทก์อ้างเป็นฎีกาขึ้นมา จึงไม่มี ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง”