แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่า ศาลล่างรับฟัง พยานเอกสารในท้องสำนวนเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นและฎีกาจำเลยข้อ 2.2 ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทแปลงเลขที่ 210 หมู่ที่ 4(ปัจจุบันหมู่ที่ 9) ตำบลกำแพงเพชรอำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ตามใบแจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินเลขที่ 1975 ซึ่งโจทก์มีสิทธิครอบครอง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 115) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 116)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาจำเลยข้อ 2.1 อ้างว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองในที่พิพาท มิใช่โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังมา จำเลยต้องการให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งส่วนฎีกาจำเลยข้อ 2.2 ที่อ้างว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้นปัญหาข้อนี้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามฎีกาตาม มาตรา 249 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง