แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ในปัญหาว่าคำให้การของจำเลยมีสาระต้องวินิจฉัย หรือ สืบพยาน หรือ เป็นประเด็นข้อพิพาทหรือไม่ หรือ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ทุนทรัพย์ 32,250 บาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องโดยมิได้กล่าวรายละเอียดถึงวันเวลาที่ออกเช็คและวันเวลาที่นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ทำให้จำเลยทั้งสองไม่อาจทราบรายละเอียดแห่งข้อกล่าวหา จึงมิได้ให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้ให้ปรากฏในศาลชั้นต้น ฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุม อีกทั้งการที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยการชี้สองสถาน แต่กลับฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ แล้วมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดตามฟ้อง เป็นการพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 30,000บาทกับดอกเบี้ย 2,250 บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 30,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 44)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 47)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คำสั่งศาลชั้นต้นให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาแต่จำเลยมิได้โต้แย้งไว้ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การจะยกขึ้นอุทธรณ์ไม่ได้ตามมาตรา 225 ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาทั้งสองนี้ จำเลยฎีกาไม่ได้ตามมาตรา 249 ส่วนปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้วให้ยกคำร้อง