คำสั่งคำร้องที่ 2321/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับ
จำเลยที่ 4 เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใหม่ และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2532 แต่สำหรับคดีนี้จำเลยที่ 4 ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 12 กันยายน 2532 ซึ่งเป็นวันที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 เก่ายังมีผลใช้บังคับอยู่เมื่อจำเลยที่ 4 มีสิทธิยื่นฎีกาภายในกำหนด 1 เดือนนับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์สิทธิของจำเลยที่ 4 ที่จะยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในอัตราโทษจำคุกที่เกิน 5 ปี ตามกฎหมายเก่าจึงใช้บังคับได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 4 ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 155)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ประกอบมาตรา 336 ทวิ และผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ มาตรา 11ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ประกอบมาตรา 336 ทวิ ซึ่งเป็นบทหนัก เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมที่เป็นกระทงความผิดจำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 3 กระทงจำคุก 12 ปี จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 ปี ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรค 3,336 ทวิ และผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8,11 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86จำคุก 12 ปี ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 151แผ่นที่ 2)
จำเลยที่ 4 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 155)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 4 อ้างว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขนั้น เป็นการจำคลาดเคลื่อนพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 11 ให้เพิ่มเติมข้อความเฉพาะมาตรา 218 วรรคสอง ส่วนวรรคแรกนั้นยังคงไว้อย่างเดิม และที่จำเลยที่ 4 อ้างว่าจำเลยที่ 4ต้องโทษจำคุกเกิน 5 ปี จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้นั้นก็เป็นการเข้าใจกฎหมายคลาดเคลื่อนเช่นกัน เพราะกรณีของจำเลยที่ 4 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างวาระกัน โจทก์อาจแยกฟ้องแต่ละกระทงความผิดได้ จึงต้องดูโทษแต่ละกระทงความผิดว่าจำคุกเกิน 5 ปีหรือไม่ จะรวมเอาโทษทุกกระทงความผิดในคดีนั้นมาเป็นเกณฑ์คิดคำนวณหาได้ไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 กระทงละไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อย คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 เท่าเดิม ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share