คำสั่งคำร้องที่ 2259/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่าคำฟ้องของโจทก์ขัดกันเอง จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 28)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,91 และตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,78,157,160 วรรคสอง ลงโทษฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจำคุก 6 ปี และฐานหลบหนี โดยไม่ให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำคุก 4 เดือน รวมเป็นโทษจำคุก 6 ปี 4 เดือน จำเลยให้การ รับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี 2 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 ส่วนความผิดฐานหลบหนีไปไม่หยุด ช่วยเหลือและแสดงตัวแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ลงโทษ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 ประกอบ มาตรา 160 วรรคแรก ที่แก้ไขแล้ว จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การ รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน รวมกับฐาน ประมาทแล้ว จำคุก 3 ปี 1 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไป ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 27 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 28)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าโจทก์บรรยายฟ้องขัดกับข้อเท็จจริงและขัดกันเองเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่จำเลยได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ตลอดข้อกล่าวหาแล้ว เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง

Share