คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 344/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรับฝากสินค้าราคาสองหมื่นบาทเศษของโจทก์ไว้ แล้วสินค้านั้นสูญหายไป จำเลยจึงมีหนังสือยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ 5,000 บาท โจทก์ปฏิเสธ ต่อมาได้มีการเจรจากันอีก จำเลยมีหนังสือยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ครึ่งหนึ่งของราคาสินค้า แต่โจทก์ก็ไม่ตกลง ดังนี้ เห็นได้ว่า เอกสารทั้ง 2 ฉบับ ที่จำเลยยอมชดใช้ค่าสินค้าที่หายรายนี้ให้โจทก์นั้น เป็นการับแล้วว่าหนี้ค่าสินค้าของโจทก์ที่หายไปมีอยู่จริง เรียกได้ว่าจำเลยยอมรับสภาพหนี้ชดใช้ค่าสินค้าของโจทก์ที่หายไปแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๐๒ จำเลยรับฝากสินค้าของโจทก์ คือเครื่องรับวิทยุกระเป๋าหิ้ว และลำโพงขยายเสียงรวม ๑ หีบ โจทก์ชำระราคาและค่าใช้จ่ายให้แก่ธนาคารแห่งประเทศจีนซึ่งเป็นตัวแทนเรียกเก็บของผู้ขายเป็นเงิน ๒๓,๐๐๓.๒๓ บาท แล้วไปขอรับสินค้าจากจำเลย ๆ ไม่มีมอบให้ โจทก์ทวงถามก็ผัดเรื่อยมา ที่สุดจำเลยขอร้องให้โจทก์ยอมรับค่าเสียหายจากจำเลยเพียงครึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๑๑,๕๐๑.๖๒ บาท โจทก์ไม่ตกลงได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว ก็เพิกเฉย จึงฟ้องขอให้จำเลยใช้เงิน ๒๓,๐๐๓.๒๓ บาท
จำเลยให้การว่า รับฝากสินค้าไว้จริง แต่โจทก์มิได้แจ้งราคาที่แท้จริงของสินค้าที่ฝากให้จำเลยทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือตามข้อบังคับ จำเลยจึงยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ ๕,๐๐๐ บาท ตามข้อบังคับ โจทก์ไม่ยอม มีการเจรจากัน ที่สุดเพื่อมิให้ยุ่งยาก จำเลยจะชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๑,๕๐๑.๖๒ บาท โจทก์ไม่ตกลง โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน ๖ เดือน จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๑ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว กำหนดประเด็นวินิจฉัยว่า
๑.ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
๒.จำเลยมีข้อบังคับตามที่อ้างหรือไม่
๓.โจทก์ได้ทราบข้อบังคับนี้หรือไม่
๔.จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นจำนวนเท่าใด
แล้ววินิจฉัยประเด็นข้อ ๑ ว่า คดีนี้เป็นเรื่องขอรับใช้ค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากสิ่งของของโจทก์ที่หายไป แต่โจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน ๖ เดือน นับแต่วันสิ้นสัญญา เอกสาร จ.๑ ก็ไม่ใช่การรับสภาพหนี้ คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๑ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกก็คือราคาทรัพย์สินที่จำเลยรับฝากไว้นั่นเอง หาใช่ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวศาลชั้นต้นกล่าวไม่ คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลวินิจฉัยคดีไปตามประเด็นที่ได้ตั้งไว้แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว จำเลยได้มีหนังสือหมาย ล.๗ ลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๐๓ แจ้งให้ผู้จัดการบริษัทอีสเอเซียติ๊ก จำกัด ผู้ส่งมอบสินค้ารายนี้ทราบว่ายังค้นหาหีบดังกล่าวไม่พบจึงไม่อาจส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ได้ จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ ๕,๐๐๐ บาท ตามระเบียบ ต่อมาโจทก์มีหนังสือหมาย ล.๖ ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๐๓ ตอบปฏิเสธมายังจำเลยในเรื่องที่จำเลยขอชดใช้ค่าเสียหายให้ ๕,๐๐๐ บาท ต่อมาได้มีการเจรจากัน ในที่สุดจำเลยยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ครึ่งหนึ่งของราคาสินค้าเป็นเงิน ๑๑,๕๐๑.๖๒ บาท ตามเอกสารหมาย จ. ๑ แต่โจทก์ไม่ตกลง ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามเอกสารหมาย ล.๗ และ จ.๑ ที่จำเลยยอมชดใช้ค่าสินค้าที่หายรายนี้ให้โจทก์นั้น เป็นการรับอยู่แล้วว่าหนี้สินค้าสินค้าของโจทก์ที่หายมีอยู่จริง การที่จำเลบขอลดค่าชดใช้ลงตามข้อบังคับโดยอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งราคาสินค้าอันแท้จริงให้จำเลยทราบก็ดี เพื่อตัดข้อยุ่งยากในการต่อสู้คดีทางศาลก็ดี เป็นเรื่องที่จำเลยอ้างขึ้นเพื่อลดหย่อนภาระในการชำระหนี้เท่านั้น หาได้ปฏิเสธความรับผิดในหนี้รายนี้ไม่ พฤติการณ์ดังกล่าวเรียกได้ว่าจำเลยยอมรับสภาพหนี้ ชดใช้ค่าสินค้าของโจทก์ที่หายไปแล้ว
อายุความฟ้องร้องย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ ฉะนั้น หากแม้จะฟังว่าเป็นการเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๑ ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลา ๖ เดือนก็ตาม นับแต่วันที่จำเลยมีหนังสือ จ. ๑ ลงวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๐๔ รับสภาพหนี้ต่อโจทก์จนถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นวันฟ้องคดีนี้ ก็ยังไม่พ้น ๖ เดือน คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
จึงพิพากษายืนในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share