แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยไม่ชัดแจ้งว่า เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกอุทธรณ์จำเลยเพราะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่ แต่เป็นการฎีกาในเนื้อหาของเรื่องขอให้ยกฟ้องโจทก์เลย จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นหลักได้โต้เถียงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งแปลงแต่ผู้เดียว ซึ่งมีราคาทุนทรัพย์เกินกว่า 50,000 บาท จำเลยมิได้โต้เถียงว่าที่พิพาทเฉพาะสองส่วนเท่านั้นเป็นของจำเลย จึงเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 อย่างชัดแจ้ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 60)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดิน น.ส.3เลขที่ 1075 ตำบลโคกขมิ้นอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ออกเป็น 14 ส่วนเท่ากัน ให้โจทก์ทั้งสองได้คนละหนึ่งส่วนหากไม่สามารถแบ่งที่ดินดังกล่าวได้ก็ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งออกเป็น 14 ส่วนเท่ากัน โดยให้โจทก์ทั้งสองได้คนละหนึ่งส่วน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 56)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 60)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว แม้ฎีกาของจำเลยจะโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไว้อย่างชัดแจ้งก็ตาม แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่ดินราคา60,000 บาท ออกเป็น 14 ส่วน ให้โจทก์คนละส่วน จำเลยให้การว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลย ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันคือราคาที่ดินเพียง 2 ส่วน ซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่าแต่ละส่วนมีราคาไม่เกิน 50,000 บาท คดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษา การที่จำเลยฎีกาว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง