แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาขายฝากตามฟ้องเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาจำนองหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมการขายฝากระหว่าง โจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ให้จำเลยรับเงินค่าไถ่ถอนโดยให้ไป จดทะเบียนการไถ่ถอน ฯลฯ ถ้าจำเลยไม่ไปก็ให้ถือคำพิพากษา ของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 89)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 92)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาข้อ 2.1 ว่าพยานโจทก์น่าเชื่อถือได้เพียงใด ข้อ 2.2 ว่าความสุจริตของโจทก์มีเพียงใด และข้อ 2.3 ถึงข้อ 2.7 เรื่องถ้าไม่ใช่นิติกรรมจำนองทำไมจำเลยจึงรับเอา ดอกเบี้ยไถ่ถอนตามกำหนดหรือไม่ โจทก์มีเงินไถ่ถอนหรือไม่ ราคาที่ดินสูงขึ้นเป็นสาเหตุจูงใจหรือไม่ และพยานจำเลยน่ารับฟัง เพียงใดล้วนเป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงในการ รับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ทั้งสิ้น ฎีกาของโจทก์จึงเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง