คำสั่งคำร้องที่ 2217/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 1 เป็นฎีกา ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ส่วนฎีกาข้อ 2 เป็นฎีกาข้อกฎหมาย ที่มิได้ยกขึ้นมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195, 225 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 1 ที่ว่าเช็คพิพาทนั้นสามารถ บังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ โดยอาศัยเหตุว่าเช็คพิพาทเป็นเช็ค ที่มีเงื่อนไข เป็นฎีกาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาข้อ 2 จำเลยได้อุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วจึงเป็นฎีกาข้อกฎหมายที่ยกขึ้นมาแล้ว ในชั้นอุทธรณ์ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1) จำคุก 8 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 102)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 103 แผ่นที่ 2)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็ค ชำระหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งมีหนี้กันอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยฎีกาว่า เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ และอ้างข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเข้ามาใหม่เพื่อให้เห็นว่ามูลหนี้ ตามเช็คดังกล่าวไม่อาจบังคับได้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share