แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายกับภริยาต่างยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้กระชากสร้อยคอผู้เสียหายไป ผู้เสียหายและภริยาต่างรู้จักกับจำเลย มีบ้านอยู่ในซอยเดียวกัน และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน หลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความ พาเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุ และตามจับจำเลยได้ พยานหลักฐานโจทก์มั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยกระชากสร้อยคอผู้เสียหายจริง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีอีก 1 คน ได้ร่วมกันชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำ 1 เส้น ราคา 5,000 บาท ของนายนิคม สุขอ่วมผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 83และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 5,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 จำคุก 1 เดือน คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและข้อนำสืบในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 20 วันจำเลยต้องขังมาพอแก่โทษแล้วจึงให้ปล่อยตัวไป คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง, 83 จำเลยอายุไม่เกินยี่สิบปีแต่ไม่เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้ วางโทษจำคุก 10 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนและข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี8 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำที่ยังไม่ได้คืนเป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้จากข้อนำสืบของโจทก์จำเลยว่า เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2533 เวลา 23นาฬิกาเศษ นายนิคม สุขอ่วม ผู้เสียหายได้ถูกจำเลยชกที่บริเวณใบหน้าและถูกนายอ้อมเตะที่บริเวณไหล่ขวา ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าก่อนที่จำเลยจะชกผู้เสียหาย จำเลยกระชากสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทราคา 5,000 บาท จากคอผู้เสียหายไปหรือไม่ ปัญหานี้โจทก์มีผู้เสียหายและนางนิภาภริยาผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าขณะเกิดเหตุพยานทั้งสองเดินกลับเข้ามาในซอยเพชรเกษม 31 ได้ประมาณ100 เมตร จำเลยเข้ามาทางด้านหลังกระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายผู้เสียหายหันไปมอง เห็นสร้อยคอทองคำขาดติดมือจำเลยไปทั้งเส้นจำเลยชกผู้เสียหาย 1 ที นายอ้อมเข้าเตะผู้เสียหาย 1 ที นางนิภาต่อว่าจำเลยว่า คนรู้จักกันทำไม่ทำอย่างนี้ สิบตำรวจตรีเกรียงไกรเปลี่ยนเดช เบิกความว่า คืนเกิดเหตุ พยานพบผู้เสียหายกับภริยาที่สถานีตำรวจนครบาลภาษีเจริญ ผู้เสียหายกับภริยาแจ้งว่าถูกจำเลยกับพวกกระชากสร้อย แล้วพาพยานไปที่เกิดเหตุ พยานสอบถามที่อยู่ของจำเลยและลักษณะการแต่งกายของจำเลย และได้ติดตามจับจำเลยได้ในพงหญ้า เมื่อพยานพาจำเลยมาที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายกับภริยาต่างยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้กระชากสร้อยคอผู้เสียหายไป เห็นว่าทั้งผู้เสียหายและภริยาต่างรู้จักกันกับจำเลย มีบ้านอยู่ในซอยเดียวกันผู้เสียหายและภริยาต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนอันจะเป็นเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งสร้างเรื่องปรักปรำจำเลยเพื่อให้ได้รับโทษ หลังเกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายและภริยาเดินแยกกับจำเลยเข้าบ้านแล้ว ผู้เสียหายก็ไปแจ้งความ พาเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุและตามจับจำเลยได้ พยานหลักฐานโจทก์มั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยกระชากสร้อยคอผู้เสียหายไปในคืนเกิดเหตุตามฟ้องจริงที่จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันในหลาย ๆ กรณี ศาลฎีกาไม่ควรรับฟังพยานโจทก์นั้น เห็นว่า ข้อแตกต่างที่จำเลยอ้างถึงนั้นเป็นเรื่องปลีกย่อยไม่มีน้ำหนักพอจะทำให้พยานโจทก์เสียไปศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.